คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับพวกประมาณ 8 คน ไปที่บ้านจำเลยซึ่งมีเพียงจำเลยอาศัยอยู่กับบุตร 2 คน อายุ 10 ปี และ 12 ปี แล้วโจทก์ข่มขู่จำเลยว่าหากไม่ลงชื่อในสัญญากู้จะรื้อหรือเผาบ้านจำเลยนั้น ถือได้ว่าเป็นภัยถึงขนาดที่จะจูงใจจำเลยให้มีมูลต้องกลัวว่าจะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนเองอันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันเขากรรโชกเอานั้น สัญญากู้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์จึงเป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ จำเลยให้การปฏิเสธโดยอ้างเหตุดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยบอกล้างสัญญากู้อันเป็นโมฆียะกรรมนั้นแล้วสัญญากู้จึงเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้กู้ยืมจำนวน 70,400 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า โจทก์อ้างว่าสามีจำเลยเป็นหนี้กู้ยืมรวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน 70,400 บาท แล้วข่มขู่ให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้เงิน มิฉะนั้นจะรื้อทำลายหรือเผาบ้านจำเลย จำเลยกลัวจึงยอมลงชื่อในสัญญากู้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์เพราะถูกโจทก์ข่มขู่จริง การที่โจทก์กับพวกประมาณ 8 คน ไปที่บ้านจำเลยซึ่งมีเพียงจำเลยอาศัยอยู่กับบุตร 2 คน อายุ 10 ปี และ 12 ปีตามลำดับ แล้วโจทก์ข่มขู่จำเลยว่าถ้าหากไม่ลงชื่อในสัญญากู้จะรื้อหรือเผาบ้านจำเลยนั้น ย่อมเป็นภัยอันถึงขนาดที่จะจูงใจจำเลยให้มีมูลต้องกลัวว่าจะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนเองอันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันเขากรรโชกเอานั้น ฉะนั้นสัญญากู้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์จึงเป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ดังกล่าวจำเลยได้ให้การปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างมูลเหตุดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า จำเลยบอกล้างสัญญากู้อันเป็นโมฆียะกรรมนั้นแล้ว สัญญากู้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์จึงเป็นโมฆะมาแต่แรก โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดตามสัญญากู้ดังกล่าวได้
พิพากษายืน

Share