แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกจำเลยลักไปมาจากผู้อื่นแม้ว่าขณะเกิดเหตุกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนมาเป็นของโจทก์ร่วมก็ตาม แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อถูกจำเลยแบ่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญาจะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพแผนที่บ้านจำเลย และภาพถ่ายประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,336 ทวิ, 83 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 1,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุรินทร์ สู่สวัสดิ์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 วรรคสาม และมาตรา 336 ทวิ จำคุก 3 ปี ทรัพย์ที่จำเลยลักไป โจทก์ร่วมได้รับคืนแล้ว จึงให้ยกคำขอ ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม ประกอบมาตรา336 ทวิ, 83 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของจำเลยตามเอกสารหมายจ.2 เป็น ประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามโจทก์ฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์ร่วมเช่าซื้อรถยนต์มาจากผู้อื่น ขณะเกิดเหตุกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่อาจร้องทุกข์และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นมาในชั้นฎีกาได้ เห็นว่าแม้ขณะเกิดเหตุโจทก์ร่วมจะมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ แต่โจทก์ร่วมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ถูกจำเลยลักไป เมื่อถูกจำเลยแย่งการครอบครองโจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ และเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 3(1)(2) ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานเอกสารบางฉบับไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวน แสดงว่าเอกสารดังกล่าวมิได้มีการสอบสวนมาก่อน พนักงานอัยการจึงไม่สามารถอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้ นั้น เห็นว่าไม่มีกฎหมายบังคับว่าเอกสารที่จะอ้างหรือนำสืบในคดีอาญา จะต้องเป็นเอกสารที่ได้มีการสอบสวนและอยู่ในสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จึงชอบที่จะรับฟังบันทึกคำรับสารภาพ แผนที่บ้านจำเลยและภาพถ่ายประกอบพยานหลักฐานอื่นเพื่อลงโทษจำเลยได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะมิใช่เอกสารที่อยู่ในสำนวนการสอบสวนก็ตาม แต่ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเพราะจำเลยกระทำความผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นเห็นว่าทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นเสาอากาศวิทยุติดรถยนต์มีราคาเพียง1,000 บาท และโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องว่าไม่ติดใจเอาความกับจำเลยและขอให้ศาลปรานีจำเลย จึงมีเหตุสมควรที่จะพิจารณาลงโทษจำเลยในสถานเบา ส่วนที่ขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยนั้น เห็นว่าจำเลยมีความรู้เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีเคยผ่านการทำงานมาหลายแห่งน่าจะมีความสำนึกที่ดีและไม่ควรกระทำผิด ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน คำรับสารภาพของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงลงโทษจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์