แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า สภาพของที่พิพาทผิดกับตัวบทกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น เพราะระหว่างที่ดินแปลงเดิมกับที่พิพาทมีทางกั้นไม่ติดต่อกันนั้น เป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 และโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 จึงเป็นเจ้าของที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 และมีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า มารดาโจทก์ได้แผ้วถางที่ดินรกร้างว่างเปล่าปลูกต้นจากขายเป็นเวลาประมาณ 40 ปีมาแล้ว ที่ดินดังกล่าวทิศใต้จดที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 ของนางสอิ้ง ต่อมานางสอิ้งยกที่ดินให้นางประนอม ด้วงผึ้ง บุตรสาวในปี 2505นางประนอมขายที่ดินให้จำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2529มารดาโจทก์ยกที่ดินของตนให้โจทก์เมื่อประมาณ 12 ปีมาแล้ว โจทก์ยึดถือครอบครองตัดจากขายตลอดมาไม่มีผู้ใดโต้แย้ง ต่อมาจำเลยห้ามโจทก์ไม่ให้ตัดจากในที่ดินของโจทก์ และแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานว่า นางประนอมแบ่งที่ดินให้มารดาโจทก์ตัดจากขาย เมื่อมารดาโจทก์ไม่ซื้อที่ดินดังกล่าว นางประนอมจึงขายให้จำเลยและให้โจทก์ออกจากที่ดิน วันที่ 5 มิถุนายน 2529 จำเลยเอาหลักไม้มาปักในเขตที่ดินของโจทก์และจะออก น.ส.3 เป็นการละเมิด ทำให้โจทก์เสียหาย ขาดรายได้จากการตัดจาก 2 เดือนเป็นเงิน 2,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนหลักไม้ออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนได้เอง และห้ามมิให้จำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 2,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่ง จากที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 ของนางสอิ้ง ประจง มารดาโจทก์และโจทก์กับบริวารเช่าที่พิพาทปลูกจากและทำไม้ฟืน นางสอิ้งยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 และที่งอกริมตลิ่งทั้งหมดให้แก่นางประนอม ด้วงผึ้ง มารดาโจทก์และโจทก์เช่าที่ดินจากนางประนอมตลอดมา ต่อมาจำเลยทั้งสามซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 และที่งอกริมตลิ่งจากนางประนอม และไม่ประสงค์จะให้โจทก์กับบริวารอยู่ในที่พิพาทอีกต่อไป และแจ้งโจทก์ทราบ แต่โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามารดาโจทก์และโจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของต่อเนื่องกันตลอดมา ไม่เคยเช่าจากนางสอิ้งหรือผู้ใด ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทอันเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 ของจำเลยทั้งสาม ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่าสภาพของที่พิพาทผิดกับตัวบทกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1308 ซึ่งบัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น เพราะระหว่างที่ดินแปลงเดิมกับที่พิพาทมีทางกั้นไม่ติดต่อกัน นั้น เป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 และ โจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1586 จึงเป็นเจ้าของที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 และมีอำนาจฟ้องแย้งให้ขับไล่โจทก์และบริวารออกจากที่พิพาทได้
พิพากษายืน