แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความตามพินัยกรรม เอกสารหมาย จ.2 ระบุว่า ตั้งนางจรรยา ส.ตันสกุล ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกและระบุให้อำนาจผู้จัดการมรดกจัดแบ่งทรัพย์มรดก ส่วนที่เหลืออีก1 ส่วน แก่ผู้อยู่ในสกุล ส.ตันสกุล ตามแต่ผู้จัดการมรดกจะเห็นสมควร โจทก์จึงมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรมและจำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์มรดกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสานส.ตันสกุล เจ้ามรดกซึ่งเป็นบิดาโจทก์ได้โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 158 ตำบลบางขุนพรหม อำเภอบางขุนพรหม (ดุสิต) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายประสานราคาประมาณ100,000,000 บาท โดยโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของจำนวน 1.071 ส่วน คิดเป็นเงินประมาณ 14,000,000 บาทให้แก่บริษัทโรงแรม 88 จำกัด แล้วยักยอกเอาเงินทั้งหมดที่ขายได้เป็นของตนเองแต่ผู้เดียวทำให้โจทก์และทายาทอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นลงชื่อรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้อง นายประสาน ส.ตันสกุล ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์1 ส่วนที่เหลือให้ผู้จัดการมรดกแบ่งปันให้แก่ผู้ใช้นามสกุล”ส.ตันสกุล” ตามที่เห็นสมควร ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งนางจรรยา ส.ตันสกุล เป็นผู้จัดการมรดกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2516 และวันที่ 28 มกราคม 2518 นางจรรยาได้โอนทรัพย์มรดกเป็นของตนและถึงแก่กรรมในปี 2533 การที่นางจรรยามิได้จัดการโอนทรัพย์มรดกให้โจทก์ในระหว่างที่เป็นผู้จัดการมรดกแสดงว่านางจรรยาไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในพินัยกรรม และจำเลยก็ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายประสาน ไม่มีหน้าที่แบ่งปันทรัพย์มรดกของนายประสานให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไปศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน