คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1297/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังอยู่ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้อาศัยสิทธิของผู้เช่า โดยไม่มีการเปลี่ยนเจตนายึดถือการครอบครองต่อผู้ให้เช่าว่าจำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทในนามของตนเองอย่างเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การที่จำเลยเพียงดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงไม่ทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท กรณีไม่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ว่าจำเลยจะอยู่ในที่ดินพิพาทต่อมาอีกนานเท่าใด จำเลยจึงไม่ใช่ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทมีบ้าน 1 หลัง โดยซื้อมาจากนางฮ. จากนั้นโจทก์ให้นางบ.เช่าอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทมีกำหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่22 พฤศจิกายน 2517 ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2520 เมื่อสิ้นสุดอายุสัญญาเช่า นางบ.ขออาศัยต่อไปจนกว่าโจทก์ต้องการที่ดินและบ้านคืนโจทก์ยินยอมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2532 โจทก์มาดูที่ดินพบว่านางบ.ได้ออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์ไปอยู่ที่อื่น จำเลยซึ่งเป็นบริวารนาง บ.ปลูกบ้านบนที่ดินของโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้ยินยอมหรืออนุญาต โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านและออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และให้ให้รื้อถอนบ้านที่จำเลยปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ไม่ใช่เอกสารที่แท้จริง เพราะนางบ.เขียนหนังสือไม่ได้ นางบ.ครอบครองแทนโจทก์เพียงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2520 เท่านั้นโจทก์ทอดทิ้งที่ดินพิพาท 10 ปีเศษ จำเลยดำเนินการขอออก น.ส.3 ก.เป็นชื่อของจำเลยกับนายม. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยการแย่งการครอบครองของโจทก์ โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 444 หมู่ที่ 7(4) ตำบลเชียงดาวอำเภอเชียงดาว จังหวัด เชียงใหม่ และให้จำเลยรื้อถอนบ้านที่จำเลยปลูกสร้างลงในที่ดินแปลงดังกล่าวออกไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โจทก์เคยให้นางบ. เช่ามีกำหนด 3 ปี ครบกำหนดเช่าเมื่อวันที่21 พฤศจิกายน 2520 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2529 มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3555 และเลขที่ 3556ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในนามของจำเลยและของนายม. มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นของจำเลย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า นางบ. เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์และยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทในขณะทำสัญญาเช่าจำเลยเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนางบ. เมื่อปรากฏว่าในระหว่างปี 2517 ถึงปี 2520 มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับนางบ.จำเลยจึงอยู่ในฐานะผู้อาศัยสิทธิของผู้เช่าตลอดมาและกรณีนี้จะถือว่าสัญญาเช่าสิ้นอายุเพราะครบกำหนดเวลาเช่าไม่ได้ เนื่องจากหากผู้เช่าอยู่ต่อมาโดยไม่มีการทักท้วงจากผู้ให้เช่าแล้วก็ต้องถือว่าเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดเวลาต่อมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 570 ที่จำเลยฎีกาว่าได้แย่งการครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่14 กรกฎาคม 2529 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยได้รับแบบหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.2 เป็นต้นมานั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังอยู่ในฐานะผู้อาศัยสิทธิของผู้เช่า โดยไม่มีการเปลี่ยนเจตนายึดถือการครอบครองต่อผู้ให้เช่าว่า จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทในนามของตนเองอย่างเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1381 การที่จำเลยเพียงดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงไม่ทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท กรณีไม่เป็นการแย่งการครอบครอง ไม่ว่าจำเลยจะอยู่ในที่ดินพิพาทต่อมาอีกนานเท่าใดจำเลยจึงไม่ใช่ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ
พิพากษายืน

Share