คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 266,268, 83, 91 และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีหมายเลขแดงที่ 1626/2529ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานปลอมหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายและหนังสือรับรองให้ปลูกสร้างอาคารในที่ดินตามฟ้องส่วนเช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมแต่จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นผู้กระทำพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266 ให้จำคุก 3 ปี ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อให้ยกเพราะคดีดังกล่าวศาลยกฟ้อง ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ทุกข้อหา
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานปลอมหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย และข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหนังสือรับรองให้ปลูกสร้างอาคารและเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วย มาตรา 266 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีของจำเลยที่ 1 และคดีของจำเลยที่ 2เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็คกับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 84343 โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 บางส่วนรวม 4 แปลง แปลงละ 26 ตารางวา ปรากฏตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงนามแทน ต่อมาโจทก์ได้แบ่งแยกที่ดินของโจทก์ออกรวม 9 แปลงโอนขายแปลงที่ 1ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้แก่จำเลยที่ 1 แปลงที่ 5 ให้แก่นายประสิทธิ์ วงศ์สุริยนันท์แปลงที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ให้แก่ผู้มีชื่อ ส่วนแปลงที่ 9 เป็นที่ดินตามโฉนดเดิมอยู่ด้านทิศเหนือของที่ดินทั้ง 8 แปลง โดยเป็นที่ดินที่จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมไว้กว้าง 3 เมตร และกันไว้อีกกว้าง 3 เมตร เป็นทางเข้าที่ดินด้านหลังที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ยาวตลอดแนว ต่อมาจำเลยได้ปลูกอาคารร้านค้าลงในที่ดินของจำเลยและได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนหนึ่งเนื้อที่ 42 ตารางวา ที่โจทก์กันไว้เป็นทางเข้าที่ดินด้านหลังที่ดินที่ขายให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าร่วมกับพวกบุกรุกที่ดินของโจทก์และทำให้เสียทรัพย์ ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 1626/2529 ของศาลชั้นต้นระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้อ้างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามเอกสารหมาย จ.4 หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินเอกสารหมาย จ.5 และเช็คตามฟ้องเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ว่า ที่ดินจำนวน 42 ตารางวาซึ่งเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงพิพาทในคดีที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์โจทก์ได้ขายให้แก่จำเลยทั้งสองแล้วจำเลยทั้งสองมิได้ปลอมเอกสารทั้งสามฉบับ คดีคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในชั้นนี้แต่เพียงว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสาร (เช็ค) ปลอมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คดังกล่าวแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม โดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยทั้งสองมิได้ปลอมเช็คตามฟ้องและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสาร ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาว่าเช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมการที่จำเลยที่ 2 นำเช็คนั้นไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดีมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 บัญญัติว่า”ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน” ข้อนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 266
พิพากษายืน

Share