แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 4 เคยรักษาโรคเบาหวานกับจำเลยที่ 1 โดยเชื่อว่าเป็นแพทย์สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ต่อมาอาการเจ็บป่วยของจำเลยที่ 4 ทุเลาลง ทำให้เกิดความเลื่อมใสในความสามารถรักษาโรคของจำเลยที่ 1 จึงได้แนะนำให้ ล. รักษาโรคกับจำเลยที่ 1 จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีเจตนาหลอกลวง ล.ให้รักษาโรคกับจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน การกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะฯในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรมและตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯเป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวมิใช่คนละกรรม และตาม พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรม ต่อมาได้ถูกยกเลิกไปโดย พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 แล้ว ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการประกอบโรคศิลปะฯ ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องจึงไม่ถูกต้องปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยเองได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา343, 83, 91, 33 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 มาตรา 4, 11, 21 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2504 มาตรา 3 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2511 (ที่ถูก พ.ศ. 2509) มาตรา 6คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 38 ข้อ 1 ลงวันที่21 ตุลาคม 2519 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 4,26, 83 (ที่ถูก 43) พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 62, 106 และขอให้สั่งริบของกลางและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหายตามรายชื่อและจำนวนเงินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, 83 จำคุกคนละ 1 ปี และจำเลยที่ 1ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479มาตรา 4, 11, 21 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2504 มาตรา 3 พระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2511 (ที่ถูก พ.ศ. 2509) มาตรา 6 พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 4, 26, 83 (ที่ถูก 43)พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 62,106 ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ จำคุก 6 เดือนลงโทษตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม จำคุก 4 เดือน ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท จำคุก 2 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 4 มีกำหนดคนละ 1 ปี ริบของกลาง และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ร่วมกันคืนเงินค่ารักษาแก่ผู้เสียหาย ดังนี้ นายเล็ก น้อยประเสริฐ 50 บาท นางวิงน้อยประเสริฐ 5,200 บาท นางเผียน จิตตรากูล 2,000 บาท นางเง็กเพียรอุดมกิจเลิศ 10,000 บาท นายพิน พรหมบุตร 4,500 บาท นางจรรยาปานอุทัย 12,000 บาท นางสาววรรณา ผดุงศิลป์ 4,000 บาท นายสอดจิตตรากูล 7,000 บาท นายเฉลิม พรรศิริ 2,250 บาท นางสาคร จุลนาค1,600 บาท นางเรือง เชาวลิต 7,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสี่กระทงแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ 4 ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่… พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีนายเล็ก น้อยประเสริฐ เป็นพยานสำคัญเบิกความว่า จำเลยที่ 4 เป็นพนักงานของบริษัทซิงเกอร์จำกัด สาขาจันทบุรี จำเลยที่ 4 ไปเก็บเงินค่าซื้อสินค้าผ่อนส่งที่บ้านนายเล็กเป็นประจำ ในเดือนกันยายน 2529 จำเลยที่ 4 เอาใบโฆษณาตามเอกสารหมาย จ.5 ให้นายเล็กดู ในใบโฆษณาดังกล่าวระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นแพทย์สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายได้หลายโรค รวมทั้งโรคเบาหวานและโรครูมาติซัม นายเล็กจึงไปรับมารดาซึ่งเป็นโรคปวดเท้าจากกรุงเทพมหานครไปที่บ้านอำเภอเมืองจันทบุรี ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้พากันไปที่บ้านนายเล็ก จำเลยที่ 1 ได้ทำการตรวจมารดานายเล็กแล้วบอกว่าเป็นโรครูมาติซัมต้องใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน และเรียกค่ารักษาล่วงหน้าบางส่วนไปจากนายเล็กก่อนเป็นเงิน 3,000 บาทระหว่างที่มารดารักษาตัวอยู่กับจำเลยที่ 1 นายเล็กได้ให้จำเลยที่ 1รักษาโรคปวดหลังของตนเองด้วย ผลการรักษาในภายหลังปรากฏว่ามารดานายเล็กไม่ได้หายขาดจากโรคปวดเท้าเพียงแต่บรรเทาลงเท่านั้น ฝ่ายจำเลยที่ 4 เบิกความต่อสู้ว่า จำเลยที่ 4 เคยป่วยเป็นโรคเบาหวานให้จำเลยที่ 1 รักษา ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 หายจากโรคเบาหวาน เมื่อนายเล็กทราบเรื่องจึงให้จำเลยที่ 4 พาจำเลยที่ 1 ไปรักษาโรคไขข้อของนายเล็ก จำเลยที่ 4 พาจำเลยที่ 1 ไปรักษานายเล็กโดยจำเลยที่ 4ไม่ได้ค่าตอบแทนใด ๆ จากจำเลยที่ 1 เห็นว่าคำเบิกความของนายเล็กเองได้ความว่าเมื่อจำเลยที่ 4 เอาใบโฆษณาเอกสารหมาย จ.5 ให้นายเล็กดู จำเลยที่ 4 บอกนายเล็กว่าจำเลยที่ 4 เป็นโรคเบาหวานรักษากับจำเลยที่ 1 แล้วอาการดีขึ้น นอกจากนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางสาววรรณา ผดุงศิลป์ และนางจรรยา ปานอุทัย พยานโจทก์ประกอบกันว่า เคยเห็นจำเลยที่ 1 ไปรักษาโรคเบาหวานให้จำเลยที่ 4 ที่บ้านจำเลยที่ 4 แล้วอาการดีขึ้น คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ 4 น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4 ได้รักษาโรคเบาหวานกับจำเลยที่ 1 โดยเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นแพทย์สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายได้ ต่อมาอาการเจ็บป่วยของจำเลยที่ 4 ได้ทุเลาลง ทำให้จำเลยที่ 4 เกิดความเลื่อมใสในความสามารถรักษาโรคของจำเลยที่ 1 จึงได้แนะนำให้นายเล็กรักษาโรคกับจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีเจตนาหลอกลวงนายเล็กให้รักษาโรคกับจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 4ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามที่โจทก์ฎีกา…
อนึ่ง เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามฟ้องโจทก์ข้อ ก.และข้อ ข. เป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นคนละกรรมกันนอกจากนั้นที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จากการกระทำผิดในฟ้องข้อ ก. ตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับเวชกรรม แต่ปรากฏว่ากฎหมายในส่วนดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 แล้ว ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ฯ ตามที่โจทก์ขอมาท้ายฟ้องจึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้แม้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกามาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยเองได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่1414/2516 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช โจทก์ นายตี้หรือจรัส ตันตระกูล จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ฯ ตามที่โจทก์ฟ้อง คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนดเพียง 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.