คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ จึงมิชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2532 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 140,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี การกู้ยืมเงินนี้จำเลยมอบสมุดเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสงขลา พร้อมบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันโจทก์ได้นำบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติไปกดถอนดอกเบี้ยแต่ละเดือนมีกำหนด 10 เดือน แล้วต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2533 จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจะนำสมุดเงินฝากประเภทออมทรัพย์พร้อมบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวไปติดต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลาเพื่อขอกู้ยืมเงินประเภทสินเชื่อธนวัฒน์ เมื่อติดต่อเสร็จแล้วจะมามอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเช่นเดิม อันเป็นข้อความเท็จความจริงแล้วจำเลยหาได้มีเจตนาไปติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากโจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบสมุดเงินฝากและบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวให้จำเลยไป ต่อมา เมื่อถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยประจำเดือนมกราคม 2533 โจทก์ได้ไปติดต่อทวงถามขอสมุดเงินฝากธนาคารและบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวคืนจากจำเลยเพื่อนำมากดถอนจำนวนดอกเบี้ยและยึดถือไว้เป็นประกันตามที่เคยปฏิบัติมาแต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ จึงมิชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้”
พิพากษา ยกฎีกาโจทก์.

Share