แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อข้อความตามบันทึกการตกลงเอกสารหมาย จ.8 ปรากฏชัดว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1, จ.3 และจ.5 และยอมชำระเงินให้โจทก์ตามที่ระบุไว้ในเช็ค แม้ทางพิจารณาของศาลฎีกาข้อเท็จจริงจะยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยไม่ต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 บันทึกการตกลงดังกล่าวก็ยังมีผลบังคับให้จำเลยต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3และ จ.5 ที่ยังเหลืออยู่ได้ จำเลยจะให้การต่อสู้ในประเด็นที่ว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริตและคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วไว้ก็ตาม แต่ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นดังกล่าวไว้เป็นประเด็นพิพาทในคดี และคู่ความก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ย่อมถือได้ว่าคู่ความได้สละประเด็นดังกล่าวแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2524 จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาพุนพิน จำนวน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน54,955 บาท ให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาวันที่ 24 มิถุนายน 2524 โจทก์ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพุนพินเรียกจำเลยไป จำเลยยอมรับสภาพหนี้ว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คทั้งสามฉบับจริงขอผัดนำเงินมาชำระให้โจทก์ภายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2524 ได้ทำบันทึกการตกลงไว้ครั้นถึงกำหนดจำเลยยังคงเพิกเฉยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระต้นเงิน 54,955 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัด
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ไม่ได้นำเช็คไปฟ้องเรียกเงินภายในกำหนด โจทก์นำบันทึกท้ายฟ้องมาฟ้องโดยไม่สุจริตเพราะเป็นบันทึกเพื่อยกเลิกคดีอาญา บันทึกท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 31,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2524เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คเอกสารหมาย จ.1 จ.3 และ จ.5 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1309/2526 ของศาลแขวงสุราษฎร์ธานี เมื่อเช็คพิพาททั้ง 3 ฉบับถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ต่อมาวันที่26 มิถุนายน 2524 โจทก์จำเลยได้เจรจากันต่อหน้าพนักงานสอบสวนในที่สุดได้มีการทำบันทึกการตกลงไว้ว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริง และจะยอมชำระเงินให้โจทก์ตามที่ระบุไว้ในเช็คนั้นตามบันทึกการตกลงคดีอาญาที่ 230/2524 เอกสารหมาย จ.8ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1309/2526 ของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 ดังกล่าวเป็นเงิน 31,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมิได้วินิจฉัยถึงเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ในสำนวนคดีอาญาดังกล่าวแต่อย่างใด และโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ คดีจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมายจ.1 ดังกล่าวให้แก่โจทก์… ประเด็นแรกจำเลยฎีกาว่า บันทึกการตกลงเอกสารหมาย จ.8 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1309/2526ของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไม่มีผลบังคับเพราะโจทก์ฟ้องตั้งข้อหาว่าจำเลยผิดสัญญารับสภาพหนี้ โดยอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คเอกสารหมาย จ.1 จ.3 และ จ.5 ในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่1309/2526 ของศาลแขวงสุราษฎร์ธานี รวม 3 ฉบับ เป็นเงิน 54,955บาท แต่ทางพิจารณาข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5ในคดีดังกล่าวเพียง 2 ฉบับ เป็นเงิน 31,000 บาท เท่านั้น จึงไม่ตรงตามบันทึกการตกลงเอกสารหมาย จ.8 ในคดีดังกล่าว และเป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่แน่นอน บันทึกการตกลงตามเอกสารหมาย จ.8 ดังกล่าวจึงมิใช่หนังสือรับสภาพหนี้อันจะมีผลบังคับได้นั้น เห็นว่า เมื่อข้อความตามบันทึกการตกลงเอกสารหมาย จ.8 ในคดีดังกล่าวและรายงานประจำวันธุรการของสถานีตำรวจภูธรอำเภอพุนพิน ลงวันที่ 24 มิถุนายน2524 ปรากฏชัดว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คพิพาททั้ง 3 ฉบับ ดังกล่าว และยอมชำระเงินให้โจทก์ตามที่ระบุไว้ในเช็คเช่นนี้ แม้ว่าทางพิจารณาข้อเท็จจริงจะยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองว่า จำเลยไม่ต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมายจ.1 ดังกล่าวให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่บันทึกการตกลงเอกสารหมาย จ.8ดังกล่าว ก็ยังมีผลบังคับให้จำเลยต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.3 และ จ.5 ที่ยังเหลืออยู่ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
ประเด็นตามฎีกาจำเลยประการสุดท้ายว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริต และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะประเด็นดังกล่าวจำเลยได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การจำเลยแล้ว นั้น เห็นว่าแม้จำเลยจะให้การต่อสู้ในประเด็นดังกล่าวไว้ก็ตาม แต่ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นดังกล่าวไว้เป็นประเด็นพิพาทในคดีและคู่ความก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ย่อมถือได้ว่าคู่ความได้สละประเด็นดังกล่าวแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่ที่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาในทุนทรัพย์ 49,650 บาทนั้น ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะในชั้นนี้มีทุนทรัพย์เพียง 37,393.75บาท สมควรคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลย”
พิพากษายืน.