แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมีเรื่องทะเลาะกับบิดา จำเลยน้อยใจอยากจะประชดบิดาจึงให้เพื่อนไปซื้อเฮโรอีนมา 2 หลอด เมื่อได้เฮโรอีนมาแล้วจำเลยนำเฮโรอีนไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้จับกุมตนในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครามครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต เป็นการหาเฮโรอีนมาเป็นของกลางเพื่อให้ถูกจับกุม มิใช่เจตนาที่จะยึดถือเฮโรอีนไว้ในครอบครองของตน ไม่เป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1 จำนวน 2 หลอด หนัก 20.0 มิลลิกรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7(1), 8, 15, 67, 102และริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7(1), 8, 15 (ที่ถูกมาตรา15 วรรคแรก), 67, 102 ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมาตลอด เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือนริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องส่วนเฮโรอีนของกลางเป็นของผิดกฎหมายจึงให้ริบ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาโดยโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งว่า วันเกิดเหตุจำเลยมีเรื่องทะเลาะกับบิดาจำเลยน้อยใจอยากจะประชดบิดา จึงให้เพื่อนไปซื้อเฮโรอีนมา2 หลอด เมื่อได้เฮโรอีนมาแล้ว จำเลยก็นำเฮโรอีนไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจเพื่อให้จับกุมตนในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต คงมีปัญหาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยได้เฮโรอีนมาเพื่อจะได้นำไปให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตนในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง เช่นนี้ เป็นกรณีที่เห็นได้ว่าจำเลยเจตนาที่จะให้เจ้าพนักงานได้เห็นว่าตนมีเฮโรอีนของกลางเพื่อเจ้าพนักงานจะจับกุมตนได้ตามที่ตั้งใจจะให้ถูกจับกุมเท่านั้นจึงเป็นการหาเฮโรอีนมาเป็นของกลางเพื่อให้ถูกจับกุม มิใช่เจตนาที่จะยึดถือเฮโรอีนของกลางนั้นไว้ในครอบครองของตนแต่ประการใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง”
พิพากษายืน