คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นอกจากสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยผู้เช่าซื้อทำไว้กับโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจะระบุว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบค่าเช่าซื้อที่ได้ชำระไว้ทั้งสิ้นแล้ว ผู้เช่าซื้อยังมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่ก่อนสัญญาเลิกกันด้วย ดังนี้ข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคแรก แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดในสัญญาดังกล่าวมิได้เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงใช้บังคับได้ เมื่อปรากฏว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนโจทก์บอกเลิกสัญญาและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็ครวม 9 ฉบับให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จำนวนเงินฉบับละ 86,945 บาท เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน820,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าซื้อรถแทรกเตอร์จากโจทก์ในราคา2,700,000 บาท ชำระค่าเช่าซื้องวดแรก 650,000 บาท ที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 86,945 บาท โดยจำเลยออกเช็ครวม 9 ฉบับล่วงหน้าเป็นประกัน จำเลยชำระค่าเช่าซื้อไปแล้ว 1,362,505 บาทต่อมาโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและนำรถแทรกเตอร์กลับไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินตามเช็คทั้ง 9 ฉบับ อันเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระได้อีก เช็คทั้ง 9 ฉบับ จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คฉบับลงวันที่ 20กุมภาพันธ์ 2528, 20 มีนาคม 2528, 20 เมษายน 2528, 20 พฤษภาคม2528 และ 20 มิถุนายน 2528 จำนวนเงินฉบับละ 86,945 บาท รวม5 ฉบับ เป็นเงิน 434,725 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินตามเช็ค 86,945 บาท นับแต่วันที่ 25กุมภาพันธ์ 2528, 21 มีนาคม 2528, 20 เมษายน 2528, 20 พฤษภาคม2528 และ 20 มิถุนายน 2528 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับเรียงตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528, 20 มีนาคม 2528,20 เมษายน 2528, 20 พฤษภาคม 2528 และ 20 มิถุนายน 2528 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คธนาคารมหานคร จำกัดสาขาศรีสะเกษ ฉบับลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528 วันที่ 20 มีนาคม2528 วันที่ 20 เมษายน 2528 วันที่ 20 พฤษภาคม 2528 และวันที่20 มิถุนายน 2528 รวม 5 ฉบับ รวมเงินทั้งสิ้นจำนวน 434,725 บาทตามโจทก์ฟ้องและตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งในข้อนี้โจทก์อ้างว่าตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุไว้ว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว บรรดาค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบไว้ทั้งสิ้น นอกจากนั้นผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่ก่อนสัญญาเลิกกัน ข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับไว้ล่วงหน้าอันเป็นการกำหนดความรับผิดของจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อนอกเหนือและแตกต่างไปจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคแรก แต่บทบัญญัติมาตราดังกล่าวมิใช่กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวมิได้เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้ เช็คตามฟ้องทั้ง 4 ฉบับ จำเลยออกให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อเมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับเงินตามเช็คเพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ที่จำเลยกล่าวแก้ว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คออกให้เพื่อชำระค่าเช่าซื้อ เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวแม้จะเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก็ตาม เงินตามเช็คก็เป็นเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ โจทก์จะเรียกเงินตามเช็คดังกล่าวไม่ได้ เพราะไม่ใช่เงินบรรดาที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนที่โจทก์จะริบเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share