คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 603/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายรถยนต์ให้โจทก์ ต่อมาปรากฏว่าเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกคนร้ายลักไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ยึดรถยนต์ไปจากโจทก์ ขอให้จำเลยใช้ราคารถยนต์พร้อมด้วยค่าเสียหายจำเลยให้การว่า โจทก์ถูกรอนสิทธิเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว แม้คำให้การของจำเลยจะไม่ระบุระยะเวลาที่เป็นอายุความไว้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติเรื่องอายุความรับผิดในการรอนสิทธิไว้ในลักษณะซื้อขาย มาตรา 481เพียงมาตราเดียว โดยกำหนดอายุความไว้สามเดือน จึงพอถือได้ว่าจำเลยต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความในเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิแล้ว การที่จะนำอายุความสามเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 มาใช้บังคับนั้น ข้อเท็จจริงต้องได้ความว่า โจทก์ได้ประนีประนอมยอมความคืนรถยนต์ให้แก่บุคคลภายนอก หรือยอมคืนรถยนต์ให้ตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง การที่รถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเนื่องจากเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกลักมาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ความรับผิดของจำเลยผู้ขายจึงไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481แต่ต้องตกอยู่ในอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีอายุความสิบปี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2525 จำเลยตกลงขายรถยนต์บรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 80-0896 ปราจีนบุรีให้แก่โจทก์ในราคา 142,000 บาท โจทก์ชำระราคาให้จำเลยและจำเลยได้ส่งมอบรถยนต์และโอนทะเบียนให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน 2526 เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์อ้างว่าเป็นรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 10-7316กรุงเทพมหานคร ของผู้อื่นที่ถูกลักไป โจทก์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ปลอมและใช้เอกสารปลอม แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยปกปิดใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงนำรถยนต์ที่ได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาขายให้แก่โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 142,000 บาท ให้แก่จำเลยเงินดังกล่าวจึงเป็นลาภมิควรได้ที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือโจทก์ซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าวหลายรายการเป็นเงิน 65,000 บาท ต้องว่าจ้างรถยนต์ผู้อื่นขนข้าวเปลือกเข้าโรงสีของโจทก์ในระหว่างที่รถยนต์ถูกยึดเดือนละ 10,000 บาท เป็นเวลา 8 เดือน เป็นเงิน 80,000 บาทโจทก์ขอคิดค่าซ่อมแซมรถยนต์และค่าเช่ารถบรรทุกรวมกันเป็นเงินเพียง108,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 250,000บาท โจทก์มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยตกลงขายและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-0896 ปราจีนบุรี ให้โจทก์ ไม่เคยรับเงินใด ๆ จากโจทก์ โจทก์ถูกรอนสิทธิเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน2526 แต่โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินให้โจทก์จำนวน 182,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (วันฟ้องวันที่ 10 กุมภาพันธ์2530) เป็นต้นไปจนกว่าจะชดใช้ให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 1,000 บาท และค่าขึ้นศาลให้ชดใช้เท่าที่โจทก์ชนะคดีคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์2,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2525 จำเลยขายรถยนต์บรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 80-0896 ปราจีนบุรี ให้โจทก์ในราคา 142,000บาท ได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหลักฐานโดยโจทก์มอบเงินจำนวน5,000 บาท กับบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านให้จำเลยไปทำการโอนทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ในวันนั้น หลังจากนั้นประมาณ 15 วันจำเลยมอบทะเบียนรถยนต์และหลักฐานการโอนให้แก่โจทก์พร้อมกับรับเงินค่ารถยนต์ที่เหลือไปจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 3 มิถุนายน2526 เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปอ้างว่าเป็นรถยนต์ของบริษัทแสงฟ้าวิสาหกิจ จำกัด ที่ถูกคนร้ายลักไปโจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าซื้อรถยนต์มาจากจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโจทก์และจำเลยไปดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ รับของโจร ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการและใช้เอกสารปลอม ในคดีอาญาดังกล่าวจำเลยรับกับเจ้าพนักงานตำรวจและนายเสนาะ เทียนทอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปราจีนบุรีว่าจำเลยเป็นผู้ขายรถยนต์ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาธนบุรีและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว
จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่เคยครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-0896 ปราจีนบุรี และไม่เคยขายรถคันดังกล่าวให้แก่โจทก์
พิเคราะห์แล้วที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าโจทก์ซื้อรถยนต์ตามฟ้องไปจากจำเลยนั้น โจทก์ได้อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยได้เสนอขายรถยนต์ตามฟ้องให้โจทก์มีการต่อรองราคาและตกลงซื้อขายกันในราคา 142,000 บาทได้ทำสัญญาซื้อขายกัน โดยโจทก์มอบเงิน 5,000 บาท ให้จำเลยก่อนเพื่อใช้จ่ายในการโอนทะเบียนรถยนต์ หลังจากนั้นอีก 15 วันจำเลยก็นำทะเบียนรถยนต์พร้อมด้วยหลักฐานมาให้โจทก์และรับเงินค่ารถยนต์ที่เหลือจากโจทก์ ต่อมาเมื่อรถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดโจทก์อ้างว่าซื้อรถยนต์มาจากจำเลย ทั้งโจทก์จำเลยจึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัว ซึ่งนอกจากโจทก์จะเบิกความยืนยันดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังอ้างสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7751/2527ของศาลอาญาธนบุรีเป็นพยานด้วย ซึ่งก็ปรากฏว่าพยานโจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวคือ นายใส จิตรพล ก็เบิกความว่า จำเลยเป็นผู้ขายรถยนต์ตามฟ้องให้แก่โจทก์พันตำรวจตรีวิทยา เกตุศรเจ้าพนักงานตำรวจที่จับกุมโจทก์จำเลย และนายเสนาะ เทียนทองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดปราจีนบุรีก็เบิกความว่า จำเลยเคยรับกับบุคคลทั้งสองว่าได้ขายรถยนต์ตามฟ้องให้แก่โจทก์ซึ่งความข้อนี้จำเลยเองก็เบิกความเจือสมโดยยอมรับว่าเคยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรรถยนต์บรรทุกตามฟ้อง โดยเจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมโจทก์ด้วย เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวประกอบกันแล้วฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยเป็นผู้ขายรถยนต์ตามฟ้องให้แก่โจทก์ ส่วนพยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยเพียงคนเดียวเบิกความปฏิเสธลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์
สำหรับฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยที่ว่า คดีขาดอายุความหรือไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้ และคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้นพิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายรถยนต์ให้โจทก์ต่อมาปรากฏว่ารถยนต์คันที่ซื้อขายกันเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกคนร้ายลักไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้ยึดรถยนต์ไปจากโจทก์ขอให้จำเลยใช้ราคารถยนต์พร้อมด้วยค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2526 แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วเห็นว่า แม้คำให้การของจำเลยจะไม่ระบุระยะเวลาที่เป็นอายุความตามข้อต่อสู้ไว้ แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็บัญญัติเรื่องอายุความรับผิดในการรอนสิทธิไว้ในลักษณะซื้อขายมาตรา 481 เพียงมาตราเดียว โดยกำหนดอายุความไว้สามเดือนตามคำให้การของจำเลยจึงพอถือได้ว่า จำเลยต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความในเรื่องความรับผิดในการรอนสิทธิตามนัยกฎหมายดังกล่าวแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยในส่วนนี้มิได้แสดงให้แจ้งชัดไม่ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ฟังขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการที่จะนำอายุความสามเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 มาใช้บังคับตามที่จำเลยฎีกานั้น ข้อเท็จจริงต้องได้ความว่า โจทก์ได้ประนีประนอมยอมความคืนรถยนต์ให้แก่บุคคลภายนอกหรือยอมคืนรถยนต์ให้ตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง การที่รถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเนื่องจากเป็นรถยนต์ของผู้อื่นที่ถูกลักมาจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ความรับผิดของจำเลยผู้ขายจึงไม่ตกอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องตกอยู่ในอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีอายุความสิบปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยยังไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 2,000 บาท

Share