คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย.และส. รวมทั้งจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์มาก่อน จำเลยให้การเพียงว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของย.และส.ซึ่งได้บุกเบิกมาย.และส. ตายเมื่อ พ.ศ. 2527ก่อนตายได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลย จำเลยครอบครองตลอดมาและได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยชอบ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่า ย.และส. หรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท จึงอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ไม่ได้ ดังนั้นศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์หาได้ไม่ เพราะว่าเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าตามแบบสำรวจที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ เลขที่ 29/2513 อยู่หมู่ที่ 4ตำบลมะตูม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน30 ตารางวา จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 615 ทับที่ดินของโจทก์เกือบทั้งหมดโจทก์ขอให้จำเลยเพิกถอนแล้ว จำเลยเพิกถอน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยกับห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 615 มีเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวาเดิมเป็นของบิดามารดาจำเลยซึ่งครอบครองที่ดินแปลงนี้มา 20 ปีเศษแล้วต่อมาได้ยกที่ดินแปลงนี้ให้จำเลย จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวเพื่อตน ด้วยความสงบ เปิดเผย และเสียภาษีบำรุงท้องที่กับได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวโดยสุจริตไม่ได้ทับที่ดินของโจทก์ ที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปแจ้งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 615 มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และห้ามมิให้จำเลยกับบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์นายหยดและนางสอนบิดามารดาจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออนุญาตโจทก์ แต่พยานหลักฐานของโจทก์จำเลยฟังได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครอง อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก่อนที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปี แล้วจำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายจันทร์และนางขลิบ ต่อมานายจันทร์และนางขลิบยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ นายหยดและนางสอนบิดามารดาจำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากโจทก์ จึงถือได้ว่า นายหยดและนางสอนรวมทั้งจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ แม้จะครอบครองนานกี่ปีจำเลยก็ไม่อาจยกข้อกฎหมายว่าโจทก์ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขึ้นอ้างได้ นอกจากจะได้มีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 เสียก่อน และปัญหาตามฎีกาของโจทก์ เรื่องการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า จำเลยให้การเพียงว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายหยดและนางสอนซึ่งได้บุกเบิกที่ดินพิพาทมาเมื่อนายหยดและนางสอนตาย ก่อนตายได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา และได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยชอบ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่านายหยดและนางสอนหรือจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท จึงอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือจากประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ และไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share