คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ประมาทปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์โดยกะทันหันคนขับรถยนต์ของโจทก์ได้ระมัดระวังและหยุดรถยนต์ทันทีเพื่อป้องกันมิให้ชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มา ถ้าระมัดระวังเช่นเดียวกับคนขับรถยนต์ของโจทก์ก็จะหยุดรถได้ทันและไม่เกิดเหตุขึ้น แต่จำเลยที่ 3 ไม่ใช้ความระมัดระวัง ทำให้หยุดรถไม่ทันและชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ เช่นนี้ต้องฟังว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 3 ด้วย ทั้งนี้เพราะผู้ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์คันอื่นต้องระมัดระวังไม่ขับรถให้เร็วหรือกระชั้นชิดกับรถยนต์คันหน้าเกินไป การขับรถเร็วและกระชั้นชิดคันหน้าเกินไป เมื่อรถยนต์คันหน้าเกิดเหตุขึ้น ทำให้คนขับรถยนต์คันหลังหยุดรถไม่ทันและชนท้ายรถยนต์คันหน้า เช่นนี้ มิใช่เหตุสุดวิสัย เพราะคนขับรถยนต์คันหลังมีโอกาสระมัดระวังมิให้เกิดเหตุได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายและรถยนต์ของโจทก์เสียหายขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายรวมจำนวน 176,630 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 164,465 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การว่า เหตุรถยนต์ชนกันมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 3 แต่เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1และนายอาภรณ์ สุขคันธรักษ์ คนขับรถยนต์ของโจทก์ โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 100,605 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 100,105 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 2และที่ 4 ประการแรกมีว่า จำเลยที่ 3 ประมาทหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2และที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ขับรถปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์ คนขับรถยนต์ของโจทก์หยุดรถกะทันหันทันที จึงเป็นเหตุสุดวิสัยทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มาไม่อาจจะหยุดรถได้ทันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์คันอื่นก็ต้องระมัดระวังมิให้เกิดเหตุขึ้น เพราะรถยนต์คันหน้าอาจเกิดเหตุขึ้นเมื่อไรก็ได้ ผู้ขับรถยนต์ตามรถยนต์คันอื่นจึงต้องระมัดระวังที่จะไม่ขับรถให้เร็วหรือขับรถจนกระชั้นชิดกับรถยนต์คันหน้าเกินไปการขับรถเร็วและกระชั้นชิดคันหน้าเกินไป เมื่อรถยนต์คันหน้าเกิดเหตุขึ้นทำให้รถยนต์คันหลังหยุดรถไม่ทันและชนท้ายรถยนต์ คันหน้ามิใช่เป็นเหตุสุดวิสัยเพราะคนขับรถยนต์คันหลังมีโอกาสที่ระมัดระวังได้ เมื่อไม่ใช้ความระมัดระวังจนเกิดเหตุขึ้น จึงถือว่าเป็นความประมาทของคนขับรถยนต์คันหลัง สำหรับคดีนี้เมื่อจำเลยที่ 1ขับรถประมาทปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์โดยกะทันหัน ผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ได้ระมัดระวังและหยุดรถยนต์ทันทีเพื่อป้องกันมิให้ชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ แต่จำเลยที่ 3 ซึ่งขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์ของโจทก์มา ถ้าระมัดระวังเช่นเดียวกับคนขับรถยนต์ของโจทก์ก็จะหยุดรถได้ทันและไม่เกิดเหตุขึ้น เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ใช้ความระมัดระวังทำให้หยุดรถไม่ทัน และชนท้าย รถยนต์ของโจทก์แล้วดันรถยนต์ของโจทก์ไปชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จึงฟังได้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย และวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์จำนวน 100,000 บาท โดยพิจารณาความเสียหายจากพยานหลักฐานและค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้องลงบางส่วนเป็นการสมควรแก่รูปคดีแล้ว
พิพากษายืน

Share