คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่า ความผิดอาญาระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยระงับลงโดยการยอมความแล้วนั้น แม้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องคดีอาญา อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นฎีกาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352และสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไปแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 352 วรรคแรก รวม 10 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 6 เดือนรวมจำคุก 5 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 711,637.45บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องความผิดฐานยักยอกเงินค่าสินค้ายาจำนวน 4,950.50 บาท3,088 บาท และ 4,950.50 บาท ที่อ้างว่าจำเลยเก็บหรือรับมาจากร้านท่งจี่ตึ้งตามฟ้องข้อ 1.4 ข้อ 1.5 และข้อ 1.6 เสีย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 10 กระทง เป็นเวลา60 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วมจำนวน651,614.95 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในปัญหาว่า ความผิดอาญาระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยระงับลงโดยการยอมความแล้วนั้น เห็นว่าแม้จำเลยมิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องคดีอาญา อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จึงยกขึ้นฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงเพียงแต่ได้ความว่า จำเลยยอมรับว่าจะนำสินค้ายาตามเอกสารหมายจ.2 ในรายการที่จำเลยมิได้โต้แย้งมาคืนให้แก่โจทก์ร่วมภายในวันที่ 5 มกราคม 2527 ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมที่จะไม่ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย จึงไม่เป็นการยอมความอันจะทำให้คดีอาญาระงับลงดังที่จำเลยฎีกา”
พิพากษายืน

Share