แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายหลังจาก จำเลยถูกผู้เสียหายยิงและใช้ปืนตีผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของ จำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษ ที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีดังนี้ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะ ที่ผู้เสียหายตามเข้ามาตีจำเลยหลังจากยิงจำเลยแล้ว และเมื่อ ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามไปกอดปล้ำผู้เสียหาย โดยจำเลย ไม่ได้ถือมีดไล่ตามไปแทงการ กระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน โดยชอบด้วยกฎหมายนั้นเท่ากับ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามกฎหมาย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2531 เวลากลางวันจำเลยได้พาอาวุธมีดพร้ายาวประมาณ 1 ฟุต 8 นิ้ว จำนวน 1 เล่มติดตัวไปในหมู่บ้าน ถนนและทุ่งนาบ้านกลางน้อย ตำบลคำบก อำเภอคำชะอีจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยเปิดเผย และโดยไม่มีเหตุสมควร และจำเลยได้ใช้อาวุธมีดพร้าดังกล่าวฟันนายคำทองสลางสิงห์ ผู้เสียหายอย่างแรงหลายที ถูกที่บริเวณศีรษะ หลังและนิ้วมือซ้ายขวา โดยจำเลยเจตนาฆ่า แต่เนื่องจากผู้มีชื่อได้เข้าห้ามและจับจำเลยไว้ได้ จึงทำให้จำเลยฟันผู้เสียหายซ้ำอีกไม่ได้ประกอบกับแพทย์ได้รักษาบาดแผลของผู้เสียหายได้ทันท่วงที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่ได้รับอันตรายสาหัส เหตุเกิดที่ตำบลคำบกอำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ต่อมาจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนพร้อมทั้งนำอาวุธมีดพร้ามามอบให้พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 72 มาตรา 371 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรม เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานพาอาวุธติดตัวไปตามทางสาธารณะลงโทษปรับ 90 บาท ความผิดฐานพยายามฆ่าโดยบันดาลโทสะลงโทษจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 5 ปี ปรับ 90 บาทริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72, 80 ให้จำคุก3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพียงแต่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายยิงและใช้ปืนตีผ่านพ้นไปแล้วและขณะผู้เสียหายวิ่งหนีไป จึงไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึงเพราะเป็นภยันตรายที่ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายตามเข้ามาตีจำเลยหลังจากยิงจำเลยแล้ว และเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามไปกอดปล้ำผู้เสียหาย โดยจำเลยไม่ได้ถือมีดไล่ตามไปแทง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้”
พิพากษายกฎีกาจำเลย.