แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับโอนบัตรภาษีจากจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การภายในกำหนด ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเนื่องจากติดรังวัดที่ดินซึ่งได้นัดไว้ก่อน สอบโจทก์ไม่ค้าน ย่อมถือว่าทนายจำเลยที่ 2 มีเหตุจำเป็นไม่อาจมาศาลได้ ชอบที่ศาลภาษีอากรกลางจะสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดี อีกทั้งจำเลยที่ 2 ยกข้อต่อสู้ในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ส่งออกสินค้านอกราชอาณาจักรจริง ทำให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิได้รับโอนบัตรภาษี หากศาลภาษีอากรกลางได้ทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาออก อันเป็นผลให้จำเลยที่ 2 ได้รับโอนบัตรภาษีมาโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นได้ การที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจให้งดสืบพยานแล้วมีคำพิพากษาไปเสียทีเดียว จึงยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 1 สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาออกหรือไม่ คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง โดยให้ย้อนสำนวนไปทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) และ (2) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรเป็นเงินตามมูลค่าบัตรภาษีจำนวน 109,288.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันรับบัตรจนถึงวันฟ้องจำนวน 78,574.43 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 187,862.59 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 109,288.16 บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินชดเชยค่าภาษีอากรเป็นเงินตามมูลค่าบัตรภาษี 109,288.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ก่อน สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลภาษีอากรกลางยังไม่อาจมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การได้ เว้นแต่ศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย และเพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดี ศาลภาษีอากรกลางอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจำเป็นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 ส่วนจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำให้การภายในกำหนดแล้ว ต่อมาในวันนัดสืบพยานโจทก์ทนายจำเลยที่ 2 ติดรังวัดที่ดินซึ่งได้นัดไว้ก่อน จึงยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี โจทก์ไม่ค้าน ย่อมฟังได้ตามคำร้องซึ่งเป็นเหตุจำเป็นที่ทนายจำเลยที่ 2 ไม่อาจมาศาลได้ ชอบที่ศาลภาษีอากรกลางจะสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดี ทั้งจำเลยที่ 2 ได้ยกข้อต่อสู้ในคำให้การด้วยว่า จำเลยที่ 1 นำสินค้าส่งออกนอกราชอาณาจักรจริง จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิได้รับโอนบัตรภาษีจากจำเลยที่ 1 ฉะนั้น ถ้าศาลภาษีอากรกลางสืบพยานโจทก์เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองและให้โอกาสจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานเข้าสืบ หากฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาออกแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิได้รับโอนบัตรภาษีโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่ศาลภาษีอากรกลางใช้ดุลพินิจให้งดสืบพยานและมีคำพิพากษาไปเสียทีเดียว จึงยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 สำแดงเท็จในใบขนสินค้าขาออกหรือไม่ ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อศาลภาษีอากรกลางไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดีศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางและให้ศาลภาษีอากรกลางทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) และ (2) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29
พิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.