คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนจำเลยกล่าวคำหมิ่นประมาท ส. ซึ่งเป็นครูใหญ่ได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนเป็นเงิน 4,000 บาท แต่ ส. ลงไว้ในบัญชีรับบริจาคเพียง 1,500 บาท ทั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายเป็นค่าอะไร จำนวนเท่าใด และ ส. ก็ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนได้ทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ การกระทำของ ส. ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าส.ไม่สุจริตการที่จำเลยกล่าวแก่บุคคลที่สามว่าส. ครูใหญ่ไม่ดีหลายอย่าง กินเงินโรงเรียน แล้วยังไม่พัฒนาโรงเรียนและว่าต้องการจะเอาครูใหญ่ออกจากโรงเรียน เนื่องจาก ส.โกงกินเงินของโรงเรียนที่ชาวบ้านบริจาคช่วยเหลือให้กับทางโรงเรียนครูใหญ่เป็นคนขี้โกง โกงเงินโรงเรียนไม่ว่ารายได้ใด ๆ ของโรงเรียน ส. จะโกงหมดทุกเรื่อง จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตติชมส. ด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ ไม่เป็นความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใส่ความนายโสภณ อุปริพุทธิกุล ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทราราม ผู้เสียหาย ต่อนายสุวรรณ เรืองศรีด้วยการพูดว่า “นายโสภณ ครูใหญ่ ไม่ดีหลายอย่าง กินเงินโรงเรียนแล้วยังไม่พัฒนาโรงเรียน” ซึ่งหมายความว่า ผู้เสียหายทุจริตเบียดบังเอาเงินของโรงเรียนวัดสมุทราราม ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วไม่ทำการพัฒนาโรงเรียนโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชังและจำเลยใส่ความผู้เสียหายต่อนางบัวแย้ม ขันธวิชัย ด้วยการพูดว่า “ต้องการจะเอาครูใหญ่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากนายโสภณ อุปริพุทธิกุล ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทราราม โกงเงินของโรงเรียนที่ชาวบ้านบริจาคช่วยเหลือให้กับทางโรงเรียนวัดสมุทราราม ครูใหญ่โรงเรียนวัดสมุทราราม เป็นคนขี้โกง โกงเงินโรงเรียนไม่ว่ารายได้ใด ๆ ของโรงเรียน นายโสภณ จะโกงหมดทุกเรื่อง” โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 91
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 91พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 2 กรรมให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับ 1,500 บาทรวมจำคุก 1 ปี และปรับ 3,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและสภาพความผิดไม่ร้ายแรงนัก เห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาจะต้องวินิจฉัยมีตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนจำเลยกล่าวถ้อยคำตามฟ้องต่อนายสุวรรณและนางบัวแย้ม นั้น ได้มีผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนวัดสมุทรารามเป็นเงินจำนวน 4,000 บาท แต่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นครูใหญ่ลงไว้ในบัญชีรับบริจาคเพียง 1,500 บาท ทั้งไม่มีบัญชีแสดงว่าได้ใช้จ่ายไปเป็นค่าอะไร จำนวนเท่าใด และผู้เสียหายก็ไม่เคยทำบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายของโรงเรียนให้คณะกรรมการศึกษาของโรงเรียนได้ทราบเหมือนครูใหญ่คนก่อน ๆ เห็นว่าการกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการศึกษาของโรงเรียนเข้าใจไปได้ว่าผู้เสียหายไม่สุจริต การที่จำเลยกล่าวแก่บุคคลที่สามตามฟ้อง จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ติชมผู้เสียหายด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะกรรมการศึกษาของโรงเรียนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share