คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตายและความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ พ.เจ้าของรถยนต์ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย และข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย พ. เจ้าของรถยนต์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาและถือไม่ได้ว่า พนักงานอัยการฟ้องคดีแทน พ.แม้พ. จะเป็นโจทก์ ฟ้องคดีเองก็ไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ในอันที่จะนำอายุความในทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองต้องใช้อายุความ 1 ปี เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์จาก พ.ได้ซ่อมรถยนต์ให้พ. ผู้เอาประกันภัยแล้วจึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่ พ. มีอยู่ในมูลหนี้ต่อ จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อสิทธิของ พ.ที่จะฟ้องคดีนี้มีกำหนดอายุความ 1 ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิ ของ พ.จึงย่อมมีอายุความ 1 ปีเช่นกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองมีความหมายว่าในกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด และการกระทำละเมิดนั้นเป็นความผิดอาญาด้วยดังนั้น ผู้ที่ถูกกระทำละเมิดที่จะได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์จากนายไพศาล เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงซึ่งจำเลยที่ 4 รับประกันภัยไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เครื่องยนต์ของรถยนต์ขัดข้องจำเลยที่ 1 จึงจอดรถโดยไม่จัดให้มีแสงไฟและเครื่องหมายแสดงแก่รถยนต์คันอื่นให้เห็น เป็นเหตุให้รถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยชนท้ายรถพ่วงดังกล่าว นายสวาทถึงแก่ความตายและรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายหลายรายการ พนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม 2536ศาลจังหวัดสีคิ้วมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามฟ้องให้ลงโทษในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี โจทก์ได้ซ่อมรถยนต์ที่ได้รับประกันภัยให้อยู่ในสภาพเดิมสิ้นเงินไป 358,140 บาทจึงรับช่วงสิทธิตามกฎหมายมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 382,015 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 358,140 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิด 1 ปีจึงขาดอายุความ โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 565/2536 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน268,605 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้รับช่วงสิทธิ (วันที่ 25 ธันวาคม 2535)ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1เสียด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไม่ขาดอายุความเพราะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ต้องนำอายุความทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับ เห็นว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 849/2536ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ที่พนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1ในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสวาทถึงแก่ความตายและความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56, 152 นั้น นายไพศาล เทียนอุดม เจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4 ฉ-4983 กรุงเทพมหานคร ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสวาทถึงแก่ความตาย ส่วนข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 56, 152 รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดังนี้นายไพศาลเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน4 ฉ-4983 กรุงเทพมหานครจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาดังกล่าวและถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องคดีแทนนายไพศาลดังนั้น แม้นายไพศาลจะเป็นโจทก์ฟ้องคดีเองก็มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 ในอันที่จะนำอายุความในทางอาญาที่ยาวกว่ามาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสองต้องใช้อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยรถยนต์จากนายไพศาลได้ซ่อมรถยนต์ให้นายไพศาลผู้เอาประกันภัยแล้วจึงชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่นายไพศาลมีอยู่ในมูลหนี้ต่อจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 226 วรรคหนึ่ง เมื่อสิทธิของนายไพศาลที่จะฟ้องคดีนี้มีกำหนดอายุความ 1 ปี โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิของนายไพศาลจึงย่อมมีอายุความ 1 ปี เช่นเดียวกัน แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่า เป็นจำเลยที่ 1 เมื่อพนักงานอัยการจังหวัดสีคิ้วฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดสีคิ้วเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2535กับได้ความทางนำสืบของโจทก์ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดก่อนหน้านั้นโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2536 ฉะนั้น นับแต่วันที่ 9 มกราคม 2535 ถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จึงล่วงพ้นกำหนด1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง มิได้บัญญัติว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง บัญญัติว่า”แต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ฯลฯ” ซึ่งมีความหมายว่า ในกรณีเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิด และการกระทำละเมิดนั้นเป็นความผิดอาญาด้วยฉะนั้น ผู้ที่ถูกกระทำละเมิดที่จะได้รับประโยชน์ตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงต้องเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ในความผิดอาญาที่ผู้กระทำละเมิดได้กระทำต่อผู้ถูกกระทำละเมิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share