แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์บังคับคดีแล้ว จำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระเงินให้แก่ โจทก์ครั้งละ 10,000 บาทบ้าง ครั้งละ 15,000 บาทบ้างเป็นระยะเวลานานถึง 13 ครั้ง แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ขวนขวายรวบรวมเงินที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ยังมิได้ละเลยที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแม้จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ แต่การที่จะให้บุคคลใดสมควรเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ใช่แต่ฟังว่าลูกหนี้เป็นหนี้แล้วต้องเป็นบุคคลล้มละลายเสมอไป ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ก็สืบเนื่องมาจาก การค้าขายขาดทุน ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการ หรือก่อหนี้โดยทุจริตหรือประพฤติเล่นการพนัน จำเลยทั้งสอง มิได้เป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่น ๆ อีก โดยสภาพหากให้จำเลยทั้งสองต้องเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว นอกจากจำเลยทั้งสองต้อง ออกจากการทำงาน จำเลยทั้งสองยังต้องขาดสภาพที่จะหาเงิน มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์และยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ ครอบครัวทั้งหมดอีกด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีที่ทำงานที่แน่นอนมีรายได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ที่จะยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสอง ยังมีความสามารถในการรวบรวมเงินชำระหนี้ กรณีจึงเป็นเหตุอื่น ที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ (จำเลยทั้งสอง) ล้มละลายตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นประการอื่นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2529 จำเลยทั้งสองกับนางสาวนิตยา เอี่ยมศิรินุกูล เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดสีคิ้ว คดีหมายเลขแดงที่ 363/2529 เป็นเงิน 2,496,601.62 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17 และ 15 ต่อปี ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เอกสารหมาย จ.3จำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงินเป็นรายเดือน ๆ ละ 30,000 บาทจำเลยทั้งสองกับนางสาวนิตยาผิดนัดไม่ชำระหนี้ วันที่ 22 มีนาคม 2531 โจทก์ได้บังคับคดีนำที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 564 หมู่ที่ 5 ตำบลสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างของนางสาวนิตยาออกขายทอดตลาดได้ในราคาสูงสุดเป็นเงิน 1,580,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนรวม 14 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2536 ตามบัญชีเงินให้กู้เอกสารหมาย จ.8 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ (จำเลยทั้งสอง)ล้มละลายหรือไม่ ข้อนี้ฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์ขอหมายบังคับคดีและได้ยึดทรัพย์ของนางสาวนิตยาซึ่งเป็นพี่ของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ 363/2529 ของศาลจังหวัดสีคิ้วนำออกขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 1,580,000 บาท จำเลยทั้งสองยังคงเป็นหนี้โจทก์คำนวณหนี้ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2538 เป็นเงิน 3,341,700 บาททั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายวิษณุ แซ่ตั้น กับนายสานนท์ รังษีกุลพิพัฒน์ พยานโจทก์ว่า ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองแล้วไม่พบว่าจำเลยทั้งสองมีทรัพย์สินอื่นใดพอที่โจทก์จะพึงยึดมาบังคับคดีชำระหนี้แก่โจทก์ได้ตามเอกสารหมาย จ.7 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยทั้งสองถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีหรือไม่มีทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานก่อนว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) ดังนั้นจำเลยทั้งสองมีภาระต้องนำสืบให้ได้ว่ามีความสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ข้อนี้จำเลยทั้งสองนำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองขอกู้เงินโจทก์ที่สาขาสีคิ้ว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เป็นต้นเงิน 1,800,000 บาท โดยนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของนางสาวนิตยาจำนองเป็นประกัน วันที่ 22 มีนาคม 2531 โจทก์นำที่ดินที่จำนองเป็นประกันออกประมูลขายทอดตลาดได้เงิน 1,580,000 บาท วันที่ 18 ตุลาคม 2534 จำเลยทั้งสองได้ชำระเงิน 10,000 บาท และได้ชำระครั้งละ 10,000 บาท รวม 7 ครั้ง ชำระครั้งละ 15,000 บาท อีก 6 ครั้งเป็นเงินรวม 160,000 บาท ปัจจุบันจำเลยทั้งสองทำงานอยู่ที่บริษัทไทยประสิทธิ์ประกันภัย จำกัด ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายวิทยา พฤกษาโรจนกุล พยานจำเลยทั้งสองที่ทำงานอยู่บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขยายงานว่า ปัจจุบันจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่าย มีเงินเดือนประจำเดือนละ 13,000 บาท เงินตามสัญญากำหนดการจ้างประมาณเดือนละ 46,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.12และเงินบริหารงานประมาณเดือนละ 30,000 บาท ถึง 40,000 บาทกับเงินปันผลประจำปี เห็นว่า เมื่อโจทก์บังคับคดีแล้วจำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ครั้งละ 10,000 บาท บ้าง ครั้งละ 15,000 บาท เป็นระยะเวลานานถึง 13 ครั้ง แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ขวนขวายรวบรวมเงินที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ยังมิได้ละเลยที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์การที่จะให้บุคคลใดสมควรเป็นบุคคลล้มละลายนั้นใช่แต่ฟังว่าลูกหนี้เป็นหนี้แล้วต้องเป็นบุคคลล้มละลายเสมอไปเมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบและฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองยังมีอาชีพและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีที่ทำงานที่แน่นอน มีรายได้ตามภาวะเศรษฐกิจที่จะยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนได้ อันถือว่าจำเลยทั้งสองยังมีความสามารถที่รวบรวมเงินชำระหนี้ดังที่จำเลยทั้งสองเคยผ่อนชำระให้แก่โจทก์มาบ้างแล้วจำนวน13 ครั้งอีกทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ก็สืบเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุนไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการหรือก่อหนี้โดยทุจริตหรือประพฤติเล่นการพนันนอกจากเป็นหนี้โจทก์แล้วข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่น ๆอีกโดยสภาพหากให้จำเลยทั้งสองต้องเป็นบุคคลล้มละลายแล้วนอกจากจำเลยทั้งสองต้องออกจากการทำงาน จำเลยทั้งสองยังต้องขาดสภาพที่จะหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์และยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ครอบครัวทั้งหมดอีกด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองยังมีอาชีพและมีรายรับมากพอหรือมีรายได้ประจำเดือนอยู่จึงถือว่าจำเลยทั้งสองยังมีความสามารถที่จะชำระหนี้ เป็นการนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวอันเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ (จำเลยทั้งสอง) ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน