คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การประเมินค่ารายปีสำหรับภาษีโรงเรือนประเภทโรงแรมตามสูตร ที่จำเลยนำมาเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมิน คือ ค่ารายปีเท่ากับค่าเช่าห้อง คูณ จำนวนห้อง คูณ 219 คูณ 15 ส่วน 100 นั้น หากมีการตกลงกำหนดจำนวนค่าเช่าห้องและจำนวนห้องที่เหมาะสมแล้ว หลักเกณฑ์หรือสูตรที่จำเลยคิดขึ้นก็จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและเป็นธรรมและค่ารายปีที่คำนวณได้ตามสูตรนี้เป็นจำนวนเงินซึ่งอาคารโรงแรมสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ต้องตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 8 แล้ว ในกรณีที่คู่ความยังมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับอัตราค่าเช่าห้องและจำนวนห้องตามหลักเกณฑ์หรือสูตรดังกล่าว ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณากำหนดตามข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของคู่ความเป็นราย ๆ ไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครประเมินภาษีโรงเรือน ปี พ.ศ. 2528 สำหรับอาคารโรงแรมของโจทก์ไม่ถูกต้องโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินใหม่แล้ว แต่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครชี้ขาดให้ชำระภาษีโรงเรือนตามการประเมิน ขอให้พิพากษาว่า การประเมินและคำชี้ขาดดังกล่าวไม่ถูกต้อง ให้จำเลยคืนค่าภาษีโรงเรือนที่ได้ชำระไปแล้วคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและคำชี้ขาดบางส่วน ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีโรงเรือนที่ชำระเกินไป จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่า สูตรที่จำเลยนำมาเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินหาค่ารายปี คือค่ารายปีเท่ากับค่าเช่าห้อง คูณ จำนวนห้อง คูณ 219 15 ส่วน 100เมื่อหาค่ารายปีได้แล้ว จึงนำมาคิดเป็นค่าภาษีโรงเรือนในอัตราร้อยละสิบสองกึ่งต่อไป พิเคราะห์ตามคำเบิกความของนายจตุพรสิงหนาทกถากุล กรรมการผู้จัดการโจทก์ และคุณหญิงแร่ม พรหมโมบลบุณยประสพ ซึ่งเป็นอุปนายกสมาคมโรงแรมไทยและเป็นเจ้าของโรงแรมเวียงใต้พยานโจทก์ ต่างก็ยอมรับว่าควรมีหลักเกณฑ์หรือสูตรในการประเมินค่ารายปีเกี่ยวกับโรงแรม และในการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐบาลและเอกชนซึ่งทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจโรงแรมเข้าร่วมประชุมที่ประชุมก็ไม่ขัดข้อง ในการประเมินค่ารายปีโดยใช้หลักเกณฑ์หรือสูตรที่จำเลยคิดขึ้น เพียงแต่ฝ่ายเอกชนยังไม่ยอมรับในเรื่องตัวแปรเกี่ยวกับค่าเช่าห้องและจำนวนห้องตามที่จำเลยกำหนดในการคิดคำนวณเท่านั้นเห็นว่าในเรื่องหลักเกณฑ์หรือสูตรนั้นโดยทั่วไปเป็นที่ยอมรับกันแล้วเพียงแต่ฝ่ายโรงแรมมีข้อเสนอว่าหากมีการตกลงกำหนดจำนวนค่าเช่าห้อง และจำนวนห้องที่เหมาะสมแล้ว หลักเกณฑ์หรือสูตรที่จำเลยคิดขึ้นก็จะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงและเป็นธรรมในการที่จะใช้ในการคำนวณค่ารายปีสำหรับภาษีโรงเรือนประเภทโรงแรม และค่ารายปีที่คำนวณได้ตามสูตรนี้เป็นจำนวนเงินซึ่งอาคารโรงแรมสมควรจะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ต้องตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 8 แล้ว หาใช่เป็นการคำนวณเงินได้จากการประกอบกิจการโรงแรมเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรไม่เพราะจำเลยได้คิดหักค่าใช้จ่ายอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวอาคารออกให้แล้วถึง 85 %คงนำมาคิดเฉพาะค่าเช่าอาคารที่แท้จริงเพียง 15 % เท่านั้น และแม้ค่ารายปีที่คำนวณได้ตามสูตรจะสูงกว่าในปีก่อน ๆ ก็เป็นที่เห็นได้ว่าการคำนวณค่ารายปีของจำเลยในปีก่อน ๆ ต่ำไป และตามมาตรา8 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ก็ให้อำนาจจำเลยที่ 1 คำนวณค่ารายปีเสียใหม่ได้ ถ้ามีเหตุบ่งให้เห็นว่าค่าเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควร ดังนั้นการที่จำเลยที่ 3ประเมินภาษีโรงเรือนของโจทก์โดยใช้การคำนวณตามหลักเกณฑ์หรือสูตรข้างต้นวิธีการดังกล่าวจึงถูกต้องตามที่ตกลงกัน แต่สำหรับกรณีในคดีนี้เมื่อคู่ความยังมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับอัตราจำนวนค่าเช่าห้องและจำนวนห้องตามหลักเกณฑ์หรือสูตรดังกล่าว ศาลจึงเห็นสมควรพิจารณากำหนดตามข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยสำหรับปัญหาเกี่ยวกับค่าเช่าห้องโจทก์เสนอขอแก้ไขสูตรของจำเลยในการคิดจากเดิมโดยให้ประเมินเพียง 50 % ของราคาค่าเช่าต่ำสุดที่แจ้งไว้ในใบโฆษณา ส่วนจำนวนห้องขอให้ประเมินเพียง 80 % ของจำนวนห้อง เมื่อคำนวณแล้วค่าเช่าห้องโจทก์จะเหลือเพียง 250 บาทจาก 400 บาท จำนวนห้องจะเหลือเพียง 96 ห้องจากจำนวน 120ห้อง ได้ความจากนายจตุพร สิหนาทกถากุล กรรมการผู้จัดการโจทก์ว่าโรงแรมโจทก์มีห้องหลายประเภททั้งเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ อัตราค่าเช่าห้องอยู่ระหว่าง 400-500 บาท บางครั้งเมื่อมีนักทัศนาจรมาพักเป็นกลุ่มก็จะลดค่าเช่าให้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วโจทก์จะรับค่าเช่าห้องประมาณห้องละ 300 บาท ปรากฏหลักฐานตามใบเสร็จเอกสารหมายจ.12 ถึง จ.34 จำเลยไม่มีพยานมานำสืบหักล้างให้ฟังเป็นอย่างอื่น จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเช่าให้โดยเฉลี่ยห้องละ 300 บาทตามที่โจทก์นำสืบ สำหรับจำนวนห้องโจทก์นำสืบว่าโรงแรมโจทก์ใช้ได้ไม่เต็มที่จะต้องซ่อมแซมอยู่เสมอจะใช้ได้เต็มที่ประมาณ 80 % ของจำนวนห้องเท่านั้น จำเลยนำสืบว่า จำเลยถือเอาจำนวนห้องพักของโรงแรมโจทก์ที่มีอยู่จริง 120 ห้อง หากโรงแรมมีการปิดหรือซ่อมแซมห้องโจทก์มีหน้าที่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทราบ เพื่อจะได้ไปทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาลดค่ารายปีให้ตามส่วน เห็นว่าตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฏจากคำพยานโจทก์จำเลย ว่าโจทก์ได้แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ว่ามีการซ่อมแซมห้องพักแต่อย่างใด การที่โจทก์เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่ามีการซ่อมแซมห้องพักโดยปราศจากหลักฐาน จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์เห็นว่ายังไม่สมควรลดจำนวนห้องให้ตามที่โจทก์เสนอ เมื่อคิดตามสูตรของจำเลยจะได้ค่ารายปีเป็นเงิน 1,182,600บาท เมื่อนำมาคำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนร้อยละสิบสองกึ่งจะเป็นจำนวน 147,825 บาท โจทก์จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 10 ของภาษีที่ประเมินเป็นเงิน 14,782.50 บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีโรงเรือนสำหรับอาคารโรงแรมโจทก์ ปี พ.ศ. 2528 เป็นเงิน 162,607.50 บาทแต่โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและเงินเพิ่มไว้แล้วเป็นเงิน 221,595 บาทจำเลยจะต้องคืนส่วนที่เรียกเก็บเกินไปจำนวน 58,987.50 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 58,987.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันพ้นกำหนดสามเดือนนับจากวันฟังคำพิพากษาจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share