แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุ ส. สวมเสื้อคอกระเช้าและประดับของมีค่าซึ่งสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและบนโต๊ะที่ ส. นั่งมีกระป๋องใส่เงินสดวางอยู่ จำเลยเข้าไปที่ ส. โดยไม่ได้พูดหรือแสดงอาการให้เห็นว่าจำเลยต้องการให้ ส. ส่งทรัพย์สินที่มีค่าให้จำเลย แล้วใช้อาวุธมีดปลายแหลมจ้วงแทง ส.ทันทีทำนองไม่พอใจส. ส. ใช้มือซ้ายรับอาวุธมีดที่จำเลยใช้แทงจนล้มลงจากเก้าอี้และร้องขอความช่วยเหลือจำเลย วิ่งหนีออกจากบ้านของ ส.ไปทันทีโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของส. แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของ ส. และใช้อาวุธมีดแทง ส.โดยไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์สินของส.แม้จำเลยให้การรับสารภาพในความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลก็ต้อง ฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาชิงทรัพย์ ส. การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทง ส.เป็นเหตุให้ส. ได้รับอันตรายแก่กาย ย่อมเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 การกระทำความผิด ฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิด ฐานพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 80, 33 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับว่ากระทำผิดตามฟ้องจริง แต่อ้างเหตุวิกลจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสาม, 80 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 65 วรรคสองให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้วคงจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังโจทก์ฟ้อง ขณะที่นางสัมฤทธิ์ ศุระชัย ผู้เสียหายนั่งคั้นน้ำมะกรูด อยู่ที่โต๊ะทำงานในบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำ จำเลยเดินเข้าไปที่ผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธมีดปลายแหลมของกลางแทงผู้เสียหายผู้เสียหายตกใจใช้มือซ้ายขึ้นรับเป็นเหตุให้ข้อมือซ้ายถูกคมมีดของจำเลยได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า ขณะที่ผู้เสียหายนั่งอยู่ที่โต๊ะที่เกิดเหตุผู้เสียหายแต่งกายสวมเสื้อคอกระเช้าสวมสร้อยคอนาก 1 เส้น กับพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ มีราคาประมาณ9,500 บาท ส่วนบนโต๊ะมีกระป๋องใส่เงินสด 1,000 บาทจำเลยเข้าไปที่ผู้เสียหายโดยไม่พูดแต่ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายทันที เห็นว่า ขณะเกิดเหตุแม้ว่าผู้เสียหายจะสวมเสื้อคอกระเช้าและประดับของมีค่าซึ่งสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและบนโต๊ะที่ผู้เสียหายนั่งจะมีกระป๋องใส่เงินสดวางอยู่ก็ตามแต่จำเลยไม่ได้พูดหรือแสดงอาการให้เห็นว่าจำเลยต้องการให้ผู้เสียหายส่งทรัพย์สินที่มีค่าดังกล่าวให้จำเลย จำเลยเข้าไปที่ผู้เสียหายแล้วใช้อาวุธมีดปลายแหลมจ้วงแทงผู้เสียหายทันทีทำนองไม่พอใจผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายใช้มือซ้ายรับอาวุธมีดที่จำเลยใช้แทงจนผู้เสียหายล้มลงจากเก้าอี้และร้องขอความช่วยเหลือจำเลยได้วิ่งหนีออกจากบ้านของผู้เสียหายไปทันที โดยที่จำเลยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เสียหาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายและใช้อาวุธมีดของกลางแทงผู้เสียหายจำเลยไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์สินของผู้เสียหาย ส่วนกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในข้อหาพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจพร้อมกับนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพโดยโจทก์มีสิบตำรวจโทพัฒนา วิวาโค ผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความรับรองบันทึกการจับกุมและมีร้อยตำรวจเอกนริศ คูธนพิทักษ์กุลพนักงานสอบสวนเบิกความรับรองบันทึกคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง สำหรับคดีนี้แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็ยังต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้นซึ่งข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ความว่าจำเลยมีเจตนาที่จะชิงทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่กรณีจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมของกลางแทงผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 เท่านั้น ซึ่งการกระทำความผิดฐานนี้เป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน