แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วซึ่งเป็นหนี้ที่ผูกพันจำเลยอันถือว่าเป็นหนี้จำนวนแน่นอนและเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาทก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยแล้วและได้ถอนการยึดทรัพย์เสียกรณีจึงไม่เข้าข้อที่จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) เมื่อโจทก์ขอถอนการ ยึดทรัพย์แล้ว ต่อมาจำเลยได้นำเงินจำนวน 170,000 บาท มาชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นจำนวนที่ยังไม่ครบตามคำพิพากษา ประกอบกับภายหลังที่โจทก์บังคับคดียึดทรัพย์แล้ว โจทก์ไม่ได้ ยึดทรัพย์ของจำเลยรายการอื่น ๆ อีก แม้ภายหลังที่โจทก์ ฟ้องคดีแล้วจะทราบว่าจำเลยมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์ยังเป็นทรัพย์ติดจำนองอยู่ แต่จำเลยก็ได้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนมาโดยตลอดประกอบกับปัจจุบันจำเลยมีอาชีพเป็นผู้จัดการเขตของบริษัท ท.จำเลยยังมีทรัพย์สินและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีรายได้แน่นอนเพียงพอที่จะขวนขวายนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทั้งไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆ ที่พอจะแสดงได้ว่าจำเลยยังเป็นหนี้บุคคลหรือเจ้าหนี้รายอื่นอีก ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่เพียงพอแก่การพิจารณาหาความจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรจะเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 14
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ใช่คนมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่เคยหลบหนีไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีหมายเลขแดงที่ 913/2529ให้จำเลยชำระเงิน 277,845.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี วันที่ 9 มิถุนายน 2530 โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11914 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาด ต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2537 จำเลยได้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 87426 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมบ้านเลขที่ 355/10 ไว้กับโจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ว่า จำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ คดีนี้แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาที่คดีถึงที่สุดแล้วซึ่งเป็นหนี้ที่ผูกพันจำเลย ถือว่าเป็นหนี้จำนวนแน่นอนและเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท ข้อเท็จจริงยังฟังได้ต่อไปด้วยว่าโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ของจำเลยแล้วและได้ถอนการยึดทรัพย์เสีย ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่เข้าข้อที่จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าลูกหนี้หรือจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8(5) ที่บัญญัติว่าถ้าลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีหรือไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้จึงมีข้อที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าเมื่อโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์แล้วต่อมาจำเลยได้นำเงินจำนวน 170,000 บาท มาชำระแก่โจทก์ซึ่งเป็นจำนวนที่ยังไม่ครบตามคำพิพากษา ข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนายนพดล ชูทรงเดช พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ฟ้องดำเนินคดีว่า ภายหลังที่บังคับคดียึดทรัพย์แล้วโจทก์ไม่ได้ยึดทรัพย์ของจำเลยรายการอื่น ๆ อีกเนื่องจากตรวจสอบแล้วจำเลยไม่มีทรัพย์สิน แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ต่อมาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีแล้วจึงทราบว่าจำเลยมีที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอีกจึงเจือสมกับข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 87426 ตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ และบ้านเลขที่ 355/10 หมู่ที่ 9 ตำบลนอกเมืองอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ตามสำเนาโฉนดและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล.6 และ ล.7 กับภาพถ่ายบ้านและที่ดินหมาย ล.8 ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำนองไว้กับโจทก์ยังเป็นทรัพย์ติดจำนองอยู่ แต่จำเลยได้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนมาโดยตลอด ดังนั้นที่โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยไม่มีทรัพย์อื่นใดเหลืออยู่อีกที่จะพึงยึดมาชำระแก่โจทก์ได้นั้นจึงขาดน้ำหนักและเหตุผลที่จะรับฟังให้เข้าข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยนำสืบข้อเท็จจริงโดยโจทก์มิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นประการอื่นและฟังได้ว่าจำเลยอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 355/10 ตามที่โจทก์ระบุเป็นภูมิลำเนาของจำเลยและปัจจุบันจำเลยมีอาชีพเป็นผู้จัดการเขตของบริษัทไทยประกันชีวิตจำกัด โดยมีสำนักงานอยู่เลขที่ 599/1 ถนนธนสาร ตำบลในเมืองอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เห็นว่า จำเลยยังมีทรัพย์สินและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีรายได้แน่นอนเพียงพอที่จะขวนขวายนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ ทั้งไม่มีข้อเท็จจริงใด ๆที่พอจะแสดงได้ว่าจำเลยยังเป็นหนี้บุคคลหรือเจ้าหนี้รายอื่นอีกข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เป็นการเพียงพอแก่การพิจารณาหาความจริงว่าจำเลยเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรจะเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน