แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งให้จำเลยรับเงินค่าที่ดิน ส่วนที่เหลือ 95,000 บาท ไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 15,000 บาท และใช้ค่าเสียหาย 20,000 บาท ให้โจทก์ จำเลยก็ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ไปตาม ลำดับในคำพิพากษาดังกล่าว จำเลยจะเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ ในลำดับที่สองโดยอ้างว่าจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยลำพังตนเองหาได้ไม่ ทั้งนี้เพราะ อ. เจ้าของรวมอีกคนหนึ่งได้ให้ความยินยอมแก่จำเลยในการทำสัญญา จะซื้อจะขายนี้แล้ว และกรณีเช่นว่านี้โจทก์ย่อมขอให้บังคับคดี แก่จำเลยรวมทั้ง อ. เจ้าของรวมอีกคนหนึ่งได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 และ 1361 วรรคสองจำเลยไม่อาจเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำพังตนเองโดยปราศจาก ความยินยอมของโจทก์ได้
ย่อยาว
คดีเนื่องมาจาก ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องให้โจทก์คืนการครอบครองที่ดินพิพาทแก่จำเลย เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ให้โจทก์ชำระค่าเช่าเป็นเงิน 8,720 บาท แก่จำเลยหากโจทก์ไม่ส่งมอบการครอบครองคืนให้ชำระค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาท ต่อหนึ่งฤดูกาลทำนาจนกว่าโจทก์จะส่งมอบที่ดินพิพาทแก่จำเลย โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 95,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ ได้ให้จำเลยคืนเงินมัดจำจำนวน 15,000 บาท และชำระค่าเสียหายจำนวน 20,000 บาทแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือ 95,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยคืนเงินมัดจำจำนวน 15,000 บาท และใช้ค่าเสียหาย 20,000 บาท ให้โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ต่อมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2534 จำเลยนำค่าฤชาธรรมเนียมและค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกามาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว และในวันที่ 27 พฤษภาคม 2534โจทก์วางเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 95,000 บาท ต่อศาลเพื่อให้จำเลยรับไปและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์
หลังจากนั้นวันที่ 30 สิงหาคม 2538 โจทก์ถึงแก่ความตายนางสังเวียน บุญสม ผู้จัดการมรดกร้องขอเข้ามาบังคับคดีว่าโจทก์ได้วางเงินค่าที่ดินไว้ต่อศาลจำนวน 95,000 บาท แล้วแต่จำเลยยังไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยมาขังไว้จนกว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลฎีกาซึ่งพิจารณาและพิพากษาคดีหลักฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า จำเลยกับนางสาวอรวรรณทองแกมใบ บุตรสาวจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกันเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2527 จำเลยโดยความยินยอมของนางสาวอรวรรณได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์ในราคา 110,000 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยจะเลือกปฏิบัติการชำระหนี้อย่างหนึ่งอย่างใดได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลฎีกาในคดีหลักได้มีคำพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 95,000 บาท ไปจากโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 15,000 บาทและใช้ค่าเสียหาย 20,000 บาท ให้โจทก์จำเลยก็ต้องปฏิบัติการชำระหนี้ไปตามลำดับในคำพิพากษาดังกล่าว โดยจำเลยจะเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ในลำดับที่สองอ้างว่าจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยลำพังเองหาได้ไม่ เพราะตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ในเบื้องต้นก็ปรากฎว่านางสาวอรวรรณเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งได้ให้ความยินยอมแก่จำเลยในการทำสัญญาจะซื้อจะขายนี้แล้ว โจทก์จึงขอให้บังคับคดีแก่จำเลยรวมทั้งนางสาวอรวรรณเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งได้ด้วยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 และ 1361 วรรคสอง ด้วยเหตุดังกล่าวจำเลยจึงไม่อาจเลือกปฏิบัติการชำระหนี้ตามลำพังตนเองโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ได้คดีชั้นนี้มีประเด็นเพียงว่าสมควรออกหมายจับจำเลยมาขังไว้หรือไม่เท่านั้น เมื่อตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับจำเลยมาขังไว้ตามคำร้องของโจทก์
พิพากษายืน