คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19) ใช้บังคับ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา 199 จัตวา แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่มาบังคับแก่คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง
คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า ดอกเบี้ยตามคำพิพากษาเป็นเบี้ยปรับซึ่งสูงเกินไป อัตราที่เหมาะสมควรจะเป็นอัตราร้อยละ 13 ถึง 14 ต่อปี โดยมิได้คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าเหตุใดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาที่จำเลยตกลงจะชำระให้แก่โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นเป็นเบี้ยปรับ รวมทั้งมีเหตุประการใดที่แสดงว่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน และมีเหตุสมควรอย่างใดที่จะให้ศาลลดลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ 13 ถึง 14 ต่อปี อันเป็นข้อสำคัญที่จำเลยจะต้องกล่าวคัดค้านมาในคำขอให้พิจารณาใหม่โดยละเอียดชัดแจ้ง เมื่อคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้และบังคับจำนองจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 947,813.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 824,606.17 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 สิงหาคม2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9902และ 9905 ตำบลไทรน้อย อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่หรือที่จะมีขึ้นในภายหน้าซึ่งเป็นทรัพย์จำนองของจำเลยตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปี นั้น จำเลยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับซึ่งสูงเกินไป อัตราที่เหมาะสมควรจะเป็นอัตราร้อยละ 13 ถึง 14 ต่อปี จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้องเนื่องจากจำเลยไปทำงานและพักอาศัยที่จังหวัดราชบุรีโดยไม่ได้แจ้งย้ายทะเบียนบ้านเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2543 จำเลยไปติดต่อฝ่ายประนอมหนี้ของโจทก์จึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องในวันเดียวกัน กรณีมีพฤติการณ์พิเศษ ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งในคำร้องว่า ตามคำขอมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล เพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า หากมีการพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ชนะคดีได้ ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ยกคำขอ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวา วรรคสอง พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวไว้โดยละเอียดถึงเหตุที่จำเลยขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลชั้นต้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ซึ่งไม่มีข้อความใดของบทกฎหมายดังกล่าวบังคับให้ต้องกล่าวอ้างว่าจำเลยจะชนะคดีโจทก์อย่างไรหรือมีหลักฐานใดมาสนับสนุนถึงเหตุที่จะชนะคดีได้อย่างไร ที่ศาลล่างทั้งสองให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมานั้น ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จัตวามาบังคับใช้แก่คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า บทกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2543 ซึ่งตามมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้มีผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปและได้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2543 และตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไม่ให้ใช้บังคับแก่คดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและให้ใช้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องนั้นบังคับแก่คดีดังกล่าวจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เมื่อปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2541 ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2543 ใช้บังคับคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ศาลอุทธรณ์นำมาตรา 199 จัตวาแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่มาบังคับแก่คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หากจำเลยไม่ชำระให้บังคับจำนองแก่ทรัพย์สินที่จำนองตามฟ้อง คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวเพียงว่า จำเลยเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษาเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งสูงเกินไป อัตราที่เหมาะสมควรจะเป็นอัตราร้อยละ13 ถึง 14 ต่อปี โดยมิได้คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นในข้อที่ว่า เหตุใดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาที่จำเลยตกลงจะชำระให้แก่โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นเป็นเบี้ยปรับ รวมทั้งมีเหตุผลประการใดบ้างที่แสดงว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนและมีเหตุสมควรอย่างใดที่จะให้ศาลลดลงเหลือเพียงอัตราร้อยละ 13 ถึง 14 ต่อปี อันเป็นข้อสำคัญที่จำเลยจะต้องกล่าวคัดค้านมาในคำขอให้พิจารณาใหม่โดยละเอียดชัดแจ้ง เมื่อคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share