คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 617/2488

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถ้าไม่ได้ตกลงว่าจะชำระหนี้กัน ณ ที่ใด ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ในภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้
การถูกคุมขังในเรือนจำในระหว่างต้องหานั้น ไม่ถือว่าเรือนจำเป็นภูมิลำเนา
ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าไปตามสัญญาแล้ว ต่อมาผู้เช่าออกจากทรัพย์ที่เช่าไปโดยไม่ปรากฏผู้ให้เช่าผิดสัญญานั้น ผู้เช่าเรียกค่าเช่าที่ชำระล่วงหน้าไปคืนไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่าเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๘๖ โจทก์ทำสัญญาเช่าสวนจำเลยมีกำหนด ๓ ปีรวมค่าเช่า ๔๕๐ บาท โจทก์ได้ชำระค่าเช่าไปแล้ว ๑๗๕ บาท ค่าเช่าที่เหลือจะต้องชำระภายในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๘๖ ครั้นถึงกำหนดไม่ได้ชำระเงินกัน ซึ่งฝ่ายโจทก์อ้างว่าไม่ได้ผิดสัญญา ฝ่ายจำเลยว่าโจทก์ผิดสัญญา และโจทก์ต้องออกจากสวนเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๔๘๗ โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าเช่าคืนกับค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาค่าเช่าคิดได้เดือนละ ๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ ๙ เดือนเป็นเงิน ๑๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ จำเลยรับล่วงหน้าไป ๑๗๕ บาท จึงพิพากษาให้จำเลยคืนค่าเช่า ๖๒ บาท ๕๐ สตางค์ และให้ใช้ค่าเช่าเสียหาย ๕๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ผิดสัญญา จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีฟังไม่ได้ว่าได้ตกลงชำระค่าเช่า ณ ที่อื่น จึงต้องชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาปัจจุบันของเจ้าหนี้ คดีไม่ได้ความว่า โจทก์ได้ปฎิบัติการชำระหนี้ยังภูมิลำเนาของจำเลยจำเลยกลับสืบว่าได้นำเงินไปเพื่อชำระแก่จำเลยที่บ้านกำนัน โจทก์กล่าวในฟ้องว่าถึงกำหนดจำเลยไม่ไปรับเงินที่บ้านกำนันเพราะต้องขังในเรือนจำ แต่คดีฟังไม่ได้ว่าได้ตกลงชำระค่าเช่ากันที่บ้านกำนันคดีฟังได้ว่าต่อไปจำเลยให้นายเหมือนทำสัญญาไปแสดงต่อโจทก์และบอกโจทก์ว่าจำเลยให้มารับเงินค่าเช่า แต่โจทก์ยังไม่ยอมาชำระ ส่วนที่โจทก์ว่า เมื่อจำเลยถูกคุมตัวมาศาล โจทก์ขอชำระซึ่งเป็นวันใกล้กับกำหนดชำระหนี้ แต่จำเลยบอกปัด ศาลฎีกาฟังว่าสัญญากำหนดวันชำระไว้แล้ว และหลังจากนั้นโจทก์ก็เตือนจำเลยแล้วจำเลยไม่ชำระ นอกจากนี้โจทก์กล่าวว่าจำต้องออกจากสวนเพราะนายเต็มพี่ชายโจทก์บังคับ คดีก็ไม่ได้ความว่าจำเลยใช้ให้นายเต็มไปใช้อำนาจแก่โจทก์อย่างไร จะว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share