แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้ว จึงมีปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้วเพียงใดหรือไม่เมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่า จำเลยได้จ่ายเงิน ให้โจทก์เป็นค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 10,000 บาทปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การ และได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ไปแล้ว 10,000 บาท ตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยโดยผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นผู้ไปรับเอง ตามเอกสารท้ายฟ้องเอกสารท้ายคำให้การดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบแล้ว แม้จะเป็นสำเนาเอกสารและจำเลยมิได้สืบประกอบ ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความ ยุติธรรมก็ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2538 โจทก์ได้ทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยประเภทกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 โดยมีเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยทั้งสองฉบับว่า หากโจทก์ได้รับอุบัติเหตุจากรถยนต์ที่เอาประกันภัยไม่ว่ากรณีใด ๆ จำเลยจะชดใช้ค่ารักษาพยาบาลซึ่งได้เกิดขึ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันเกิดเหตุตามหลักฐานที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง ในระหว่างสัญญาประกันภัยยังมีผลใช้บังคับโจทก์ประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลธนบุรีเสียค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงิน 95,874 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวให้ทางโรงพยาบาล แต่จำเลยไม่ชำระโจทก์ต้องชำระค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด แล้วติดตามทวงถามจากจำเลยจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยชำระเงิน100,068 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงิน 95,874 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ค่ารักษาพยาบาลตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถนั้น จำเลยได้จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้โจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท ตามสำเนาใบรับเงินค่าเสียหายท้ายคำให้การจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ดังกล่าวที่ขาดอีก40,000 บาท เพราะภัยครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ส่วนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 โจทก์ได้ซื้อความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเพียง 10,000 บาท และจำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวให้ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์รับไปแล้วตามสำเนาใบรับเงินค่าเสียหายท้ายคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 60,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน2538 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2538 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจรับฟังเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยเพราะเป็นสำเนาและจำเลยไม่ได้นำสืบประกอบ ขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 เห็นว่า คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้ว จึงมีปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้วเพียงใด หรือไม่ และเมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน10,000 บาท ปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 3และได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ไปแล้ว 10,000 บาทตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ข้อ ร.ย.4.2โดยผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นผู้ไปรับเอง ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 เอกสารท้ายคำให้การดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 87
พิพากษายืน