คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5046/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นับโทษจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ต่อจาก โทษในคดีอาญาอื่นอีก 3 คดี รวมแล้วมีโทษจำคุก 70 ปี 22 เดือน จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกรวมโทษ ทั้ง 4 คดีแล้วไม่เกิน 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ฎีกาโดยมิได้โต้แย้งคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างอิง ข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกา ที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง, 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 ในข้อหาปล้นทรัพย์ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯและลหุโทษ และขอให้นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 และ 2236/2534 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 481/2535 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตามฟ้อง ให้เรียงกระทงลงโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกฐานปล้นทรัพย์33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืน 1 ปี 4 เดือน ฐานพาอาวุธปืน8 เดือนรวมจำคุก 34 ปี 16 เดือน นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 และ 2236/2534 ของศาลชั้นต้น ยกคำขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 481/2535 ของศาลชั้นต้นเนื่องจากจำเลยที่ 3 ไม่ใช่บุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีดังกล่าว หลังจากคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องลงวันที่ 30 สิงหาคม 2539 ต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกันคือ ความผิดคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 3 รวม 34 ปี 16 เดือน ให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 และ 2236/2534 ของศาลชั้นต้น คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2236/2534 ของศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปล้นทรัพย์จำคุก 21 ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืน ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 24 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 16 ปี ให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 และ 1692/2534 ของศาลชั้นต้น คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 ของศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี จำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3216/2534 ของศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม, 340 ตรี จำคุก 21 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี 6 เดือน ให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534 และ 2236/2534 ของศาลชั้นต้น คดีของจำเลยที่ 3 ทั้งสี่คดีเมื่อนับโทษต่อกันแล้วรวมเป็นโทษจำคุก 70 ปี 22 เดือน เนื่องจากความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี ขึ้นไป ทั้งสี่คดีโทษจำคุกทั้งสี่คดีเมื่อนับต่อกันแล้วจึงต้องมีกำหนดเพียง50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ขอให้มีคำสั่งแก้ไขหมายจำคุกจำเลยที่ 3 รวมโทษทั้งสี่คดีแล้วไม่เกินกำหนดบทมาตราดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ปรับโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1712/2534,2236/2534, 3216/2534 ของศาลชั้นต้นและคดีนี้ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วมีโทษจำคุก 70 ปี 22 เดือน ให้เหลือโทษจำคุก 50 ปี นั้นเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 3 มิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ทั้งไม่ได้อ้างอิงข้อกฎหมายไว้โดยชัดเจนจึงเป็นฎีกาที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง, 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ 3

Share