แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด และการพาทรัพย์นั้นไป ซึ่งเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ทวิ แต่โจทก์กลับอ้างบทมาตรา 336 ซึ่งเป็นบทมาตราที่เกี่ยวกับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ไม่เกี่ยวกับฐานความผิดที่โจทก์บรรยายมาในฟ้อง ถือได้ว่าโจทก์อ้างบทมาตรา 336 ทวิ ผิดพลาดไป เมื่อในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้สมตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐาน ความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้า
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักกล่องใส่เครื่องเล่นซีดียี่ห้อไพโอเนีย 1 เครื่อง เพาว์เวอร์ 3 ตัว แผ่นดิสก์เทปเพลง25 แผ่น รวมราคา 61,000 บาท ของนายสุรัตน์ สีนาคล้วนผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้รถยนต์ 1 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและการพาทรัพย์นั้นไป ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335, 336, 371, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน กระสุนปืนซองพกอ่อน และคีมปากจระเข้ของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 17,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา นายสุรัตน์ สีนาคล้วน ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7) วรรคสาม ประกอบมาตรา 336 ทวิ จำคุกคนละ 9 ปี และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง,72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 7 ปี ริบอาวุธปืน กระสุนปืน ซองพกอ่อนและคีมปากจระเข้ของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 17,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดจริงตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กลับปรับบทลงโทษเอง จึงเกินคำขอ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด และการพาทรัพย์นั้นไปซึ่งคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิแต่โจทก์กลับอ้างบทมาตรา 336 ซึ่งเป็นบทมาตราที่เกี่ยวกับความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ไม่เกี่ยวกับฐานความผิดที่โจทก์บรรยายฟ้อง กรณีเช่นนี้ย่อมฟังได้ว่าโจทก์อ้างบทมาตรา 336 ทวิ ผิดพลาดไปเป็นมาตรา 336 เมื่อในชั้นพิจารณาโจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบข้อเท็จจริงได้สมตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า กรณีไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
พิพากษายืน