คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4368/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งบรรทุกสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้า และเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทของรถคันที่เอาประกันภัยไว้กับ จำเลย โจทก์จึงชำระค่าเสียหายให้ลูกค้าไป ดังนี้เมื่อทรัพย์ที่เสียหายอยู่ในความครอบครองของโจทก์และโจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย แก่ลูกค้าไปตามสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิในความเสียหายนั้นและมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัย รถบรรทุกของนายจ้างผู้กระทำละเมิดได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดจากความประมาทของส.และจำเลยเป็นบริษัทที่รับประกันภัยไว้ได้ขอเข้ามาชดใช้ค่าเสียหาย แต่ก็บ่ายเบี่ยงผัดผ่อนตลอดมา โดยโจทก์ได้แนบบันทึกถ้อยคำของ อ. ตัวแทนของจำเลยมาท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏรายละเอียดว่า จำเลยมิได้ ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ แต่ต้องการให้โจทก์แสดงรายการของสินค้าที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุด้วยเช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องและมีเอกสารแนบมาท้ายฟ้อง ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัย รถยนต์คันที่ ส. ขับ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536 เวลาประมาณ2 นาฬิกา พนักงานของโจทก์ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 71-5368กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนสายเอเซียเพื่อนำสินค้าไปส่งแก่ลูกค้าของโจทก์ที่จังหวัดเชียงราย เมื่อถึงที่เกิดเหตุนายสมพิศ กรแก้วขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-7539 พระนครศรีอยุธยา แล่นสวนทางมาด้วยความเร็วสูงหักหลบรถบรรทุกซึ่งประสบอุบัติเหตุจอดอยู่บนถนนจนเสียหลักพุ่งข้ามร่องกลางถนนล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของโจทก์เมื่อพนักงานของโจทก์หักหลบจึงพลิกคว่ำสินค้าเสียหายคิดเป็นเงิน 242,344 บาท จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-7539 พระนครศรีอยุธยา รับจะชดใช้ค่าเสียหายแต่เมื่อโจทก์ทำหนังสือแสดงบัญชีทรัพย์สินที่เสียหายถึงจำเลยจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 242,344 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย36,351 บาท รวมเป็นเงิน 278,695 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 278,695 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 242,344 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่าในขณะเกิดเหตุทรัพย์สินของลูกค้าเสียหายอย่างไร จำนวนเท่าไรซ่อมได้หรือไม่หากทำการซ่อมราคาค่าซ่อมจะมีจำนวนเท่าไร โจทก์และจำเลยมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 71-5368 กรุงเทพมหานคร ทรัพย์สินที่บรรทุกบนรถคันดังกล่าวเป็นของบุคคลอื่น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายเหตุละเมิดคดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536 โจทก์ใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2538คดีจึงขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาประการแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อนี้นายสุกิจ คุณคงคาพันธ์ ผู้จัดการโจทก์เบิกความว่าโจทก์เป็นบริษัทจำกัด ปรากฏตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 และเป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 71-5368กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 เหตุเกิดเพราะความประมาทของรถคันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โจทก์ได้ชำระค่าเสียหายให้ลูกค้าไป 240,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.8 จำเลยไม่ได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบ เมื่อทรัพย์ที่เสียหายอยู่ในความครอบครองของโจทก์และโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกค้าไปตามสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิในความเสียหายนั้นและมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกของนายจ้างผู้กระทำละเมิดได้
จำเลยฎีกาประการที่สองว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง เพราะไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในนามของผู้เอาประกันภัยของจำเลยและหรือผู้เอาประกันภัยของจำเลยมีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์อย่างไรกับนายสมพิศและนายทองเจือให้ชัดแจ้งข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า เหตุเกิดจากความประมาทของนายสมพิศ จำเลยซึ่งเป็นบริษัทที่รับประกันภัยไว้ได้ขอเข้ามาชดใช้ค่าเสียหายแต่ก็บ่ายเบี่ยงผัดผ่อนตลอดมา โดยโจทก์ได้แนบบันทึกถ้อยคำของนายอนุวัฒน์ พรหมขัติแก้ว ตัวแทนของจำเลยซึ่งปรากฏรายละเอียดว่า จำเลยมิได้ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ แต่ต้องการให้โจทก์แสดงรายการของสินค้าที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 ด้วย เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องและมีเอกสารแนบมาท้ายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นายสมพิศขับ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายมาตราดังกล่าวแล้ว
จำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเกิดวินาศภัยวันที่ 3 ธันวาคม 2536 ครบกำหนด 2 ปี วันที่3 ธันวาคม 2538 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์หยุดราชการให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่เข้าด้วย โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 4 ธันวาคม 2538จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share