แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องสอดที่ขอเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ซึ่งมีหมายความว่าผลของคดีตามกฎหมายจะเป็นผลไปถึงตนโดยจะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้โดยตรงจึงจะร้องสอดได้ ผู้ร้องเพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยจากโจทก์ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้วทั้งสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขโดยจะมีผลต่อเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีนี้และสามารถบังคับคดีได้แต่ถ้าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีหรือไม่อาจบังคับคดีได้ภายใน3 ปี นับแต่วันฟ้องคดีนี้ สัญญาจะซื้อขายก็สิ้นผล ดังนี้เมื่อผู้ร้องมิได้ถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้ จึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นทางภารจำยอมประเภททางสาธารณประโยชน์สำหรับที่ดิน 2 แปลง ของโจทก์ ให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินที่เป็นภารจำยอม แล้วทำที่ดินให้มีสภาพเป็นทางตามเดิม จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นทางเข้าออก ที่ดินของจำเลยที่ 1จึงไม่ตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความ จำเลยที่ 1 ไม่เคยยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะจำเลยที่ 2 ให้การว่าทางที่เจ้าของที่ดินเดิมที่โจทก์ซื้อมาและยกให้เป็นทางสาธารณะอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้รับจำนองที่ดินไว้โดยสุจริตเพื่อเป็นการประกันหนี้ของจำเลยที่ 2
ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา นายสารสิทธิ จิตสุภาพผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลอ้างว่า โจทก์ตกลงขายที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งอยู่ติดกับที่ดินที่พิพาทอันเป็นมูลเหตุในการฟ้องร้องคดีนี้ให้แก่ผู้ร้อง ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินฉบับลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 โจทก์และผู้ร้องมีความประสงค์ตรงกันในอันที่จะได้มีหลักประกันว่า โจทก์จะไม่ใช้สิทธิดำเนินคดีไปในทางที่จะแกล้งทำลายสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้ ขอให้ศาลอนุญาต
โจทก์และจำเลยทั้งสามไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นเพียงผู้จะซื้อที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินที่พิพาท และสัญญาจะซื้อขายที่ดินทำภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีโดยตรงที่จะเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)จึงไม่อนุญาต ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ต่อมาวันที่ 28 กรกฎาคม 2540 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันทั้งสองแปลงซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้แก่ผู้ร้องไปราคา 25,000,000 บาท โดยตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดินภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีในคดีนี้ และบังคับคดีแก่ผู้ที่ปิดกั้นทางภารจำยอมได้สำเร็จ หากโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีไม่อาจบังคับคดีได้ใน 3 ปี นับแต่วันฟ้อง ให้ถือว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินเป็นอันยกเลิก
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนี้ตามมาตรา 57(2)แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องสอดที่ขอเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ซึ่งหมายความว่าผลของคดีตามกฎหมายจะเป็นผลไปถึงตนโดยจะต้องเป็นผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้โดยตรงจึงจะร้องสอดได้ผู้ร้องเพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งอยู่กับที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จากโจทก์ ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ทั้งสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นสัญญาที่มีเงื่อนไข โดยจะมีผลต่อเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีนี้และสามารถบังคับคดีได้ แต่ถ้าโจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีหรือไม่อาจบังคับคดีได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันฟ้องคดีนี้สัญญาจะซื้อขายก็สิ้นผล ผู้ร้องมิได้ถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกบังคับโดยคำพิพากษาในคดีนี้แต่อย่างใด จึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามความหมายของมาตรา 57(2) ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2)
พิพากษายืน