แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องอย่างคดีมโนสาเร่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 วรรคสอง บัญญัติให้จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หรือจะให้การด้วยวาจาได้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา 177 วรรคสอง ประกอบมาตรา 195 โดยจำเลย ต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการ ปฏิเสธนั้นด้วย แม้จำเลยไม่จำต้องอ้างตัวบทกฎหมายว่า ขาดอายุความตามมาตราใดก็ตาม แต่จำเลยก็ต้องให้การโดย แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏจำเลยจึงต้องบรรยาย ด้วยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้อง การที่จำเลยให้การเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความโดยมิได้ กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะคดีโจทก์ขาดอายุความการที่โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ และการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเป็นการไม่ชอบ ประกอบกับพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลฎีกา จึงเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าใช้บริการโทรศัพท์กับโจทก์แล้วจำเลยค้างชำระค่าบำรุงรักษาและค่าใช้บริการโทรศัพท์นับแต่เดือนสิงหาคม 2536 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2537 กับดอกเบี้ยรวม จำนวน 9,730 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน7,558 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ใช้บริการโทรศัพท์ในเดือนที่โจทก์ฟ้อง และคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงร่วมกันว่า จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ทุกประการ นอกจากในประเด็นเรื่องอายุความ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์โจทก์ในประเด็นเรื่องอายุความ โดยโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในเรื่องอายุความว่า การที่จำเลยให้การเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏ จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความนั้นเห็นว่าแม้คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องอย่างคดีมโนสาเร่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 วรรคสอง บัญญัติให้จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หรือจะให้การด้วยวาจาได้ก็ตามเมื่อจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือจึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา 177 วรรคสอง ประกอบมาตรา 195 เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง กำหนดให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย แม้จำเลยไม่จำต้องอ้างตัวบทกฎหมายว่าขาดอายุความตามมาตราใดก็ตาม แต่ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น นอกจากจำเลยจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนแล้วจำเลยต้องให้การโดยแสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏกล่าวคือ ต้องบรรยายด้วยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใดนับแต่วันใดถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว การที่จำเลยให้การเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏ คำให้การของจำเลยจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเนื่องจากพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ เห็นว่าจำเลยแถลงรับว่า จำเลยค้างชำระค่าบำรุงรักษาและค่าใช้บริการจำนวน 7,558 บาท กับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 2,172 บาท รวมเป็นเงิน 9,730 บาท ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 9,730 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน 7,558 บาทนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2537 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์