คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 ในวันที่ 15 มิถุนายน 2553 เป็นเวลา 7 วัน โดยที่ศาลล้มละลายกลางในคดีดังกล่าวไม่ทราบว่าลูกหนี้ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้ไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อศาลล้มละลายกลางในคดีดังกล่าวแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดีดังกล่าว และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดีดังกล่าวดำเนินการประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาด เจ้าหนี้ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 ในขณะที่ยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันเป็นเวลาก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้เพิ่งลงประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ 1 ทางหนังสือพิมพ์และในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2553 และวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ตามลำดับ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดีดังกล่าวพิจารณารับคำขอรับชำระหนี้และกำหนดนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าววันที่ 19 มกราคม 2554 แสดงว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดีดังกล่าวซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเดียวกันก็ไม่เคยทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีนี้ไปก่อนแล้ว ดังนั้น การที่เจ้าหนี้ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าว โดยมิได้ตรวจสอบว่าลูกหนี้ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีอื่นก่อนแล้วหรือไม่เพื่อจะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีอื่นนั้น จึงเป็นผลจากการดำเนินการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางในคดีดังกล่าวที่ทำให้เจ้าหนี้เกิดสำคัญผิดหลงเข้าใจว่าลูกหนี้ที่ 1 ไม่ได้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่เจ้าหนี้ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด สมควรที่จะขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้แก่เจ้าหนี้จนถึงวันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้ดำเนินการต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสี่เด็ดขาดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวน 1,617,583.72 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ไว้พิจารณา
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องว่า เจ้าหนี้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาด และวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าวจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้โดยกำหนดนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 19 มกราคม 2554 ต่อมาวันที่ 27 มกราคม 2554 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งจำหน่ายคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 ต่อมาเจ้าหนี้ทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีนี้ จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 ไม่เคยแจ้งให้เจ้าหนี้ทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีนี้ จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่เจ้าหนี้ไม่อาจที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้ทัน ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 พร้อมทั้งแจ้งให้บรรดาเจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด 2 เดือนนับแต่วันประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับวันที่ 16 กันยายน 2553 และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 16 ตุลาคม 2553 ถือว่าเจ้าหนี้ทุกรายรวมทั้งเจ้าหนี้ทราบประกาศแล้ว ระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ครบกำหนดในวันที่ 30 มกราคม 2554 เจ้าหนี้จึงไม่อาจอ้างได้ว่าไม่ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาด เมื่อเจ้าหนี้มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดและไม่มีเหตุตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายระยะเวลาขอรับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จึงชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า กรณีมิใช่เหตุสุดวิสัยที่เจ้าหนี้อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายในคดีนี้ได้ ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ชอบแล้ว จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552 โจทก์ฟ้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ต่อมาวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 และวันที่ 7 กันยายน 2553 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 1 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้พิจารณาโดยกำหนดนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 19 มกราคม 2554 แต่วันที่ 27 มกราคม 2554 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากลูกหนี้ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้ โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 ในคดีนี้ พร้อมทั้งแจ้งให้บรรดาเจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ภายในกำหนด 2 เดือน นับแต่วันประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แนวหน้าฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2553 และประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 19 ตุลาคม 2553 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ว่า กรณีมีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายกำหนดระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในวันที่ 8 มิถุนายน 2553 ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 7620/2553 ในวันที่ 15 มิถุนายน 2553 เป็นเวลา 7 วัน โดยที่ศาลล้มละลายกลางในคดีดังกล่าวไม่ทราบว่าลูกหนี้ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้ไปก่อนแล้ว ต่อมาเมื่อศาลล้มละลายกลางในคดีดังกล่าวแจ้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาด เจ้าหนี้ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 ในขณะที่ยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาอันเป็นเวลาก่อนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้เพิ่งลงประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ที่ 1 ทางหนังสือพิมพ์และในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2553 และวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ตามลำดับ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณารับคำขอรับชำระหนี้และกำหนดนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าววันที่ 19 มกราคม 2554 แสดงว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเดียวกันก็ไม่เคยทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ที่ 1 เด็ดขาดในคดีนี้ไปก่อนแล้ว ดังนั้น การที่เจ้าหนี้ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีดังกล่าว โดยมิได้ตรวจสอบว่าลูกหนี้ที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีอื่นก่อนแล้วหรือไม่เพื่อจะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีอื่นนั้น จึงเป็นผลจากการดำเนินการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางในคดีที่ทำให้เจ้าหนี้เกิดสำคัญผิดหลงเข้าใจว่าลูกหนี้ที่ 1 ไม่ได้ถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่เจ้าหนี้ไม่อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้ภายในระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด สมควรที่จะขยายระยะเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้แก่เจ้าหนี้จนถึงวันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้ดำเนินการต่อไป การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องของเจ้าหนี้จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ไว้พิจารณา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share