แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท จำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ย่อมเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์โดยยอมรับในอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่บ้านพิพาทปลูกอยู่ แต่โจทก์ฟ้องบังคับขับไล่จำเลยในขณะบ้านพิพาทยังปลูกอยู่ ในที่ดินของผู้อื่น ดังนี้ บ้านพิพาทจึงมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าบ้านพิพาทที่ปลูกอยู่หากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละเท่าใด แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า บ้านพิพาทหากจะให้เช่าจะได้ค่าเช่า เดือนละไม่เกิน 4,000 บาท และโจทก์ก็มิได้ฎีกาว่าบ้านพิพาทหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละเกินกว่า4,000 บาท จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาท หากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่เกิน 4,000 บาท คดีส่วนที่ เกี่ยวกับฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะไม่รับวินิจฉัยและพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ส่วนนี้ของโจทก์เสีย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์ โดยลักลอบเก็บผลกาแฟและตัดฟืนต้นกาแฟของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารทำ ละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์ ดังนี้ คำขอของโจทก์ เป็นการขอให้สั่งห้ามจำเลยงดเว้นกระทำการใด ๆ ต่อต้นกาแฟอันเป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือต้นกาแฟนั้นในขณะฟ้องและต่อไปภายหน้า เมื่อจำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าต้นกาแฟเป็นของจำเลย ทั้งปัญหาที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิปลูกต้นกาแฟในที่ดินดังกล่าวต่อไปหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่อไป ฉะนั้น คดีโจทก์ส่วนที่ห้ามจำเลยและบริวาร ทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองศาลอุทธรณ์ต้องรับวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหานี้ การที่ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่นำสืบว่าโจทก์เสียหายอย่างใด เพียงใด จึงถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้าม มิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 15และต้นกาแฟจำนวน 1,000 ต้น ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินเนื้อที่ประมาณ10 ไร่ โดยบ้านเลขที่ 15 และต้นกาแฟดังกล่าวโจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 15 และห้ามทำละเมิดเกี่ยวกับต้นกาแฟดังกล่าว แต่จำเลยเพิกเฉย ทั้งจำเลยและบริวารยังลักลอบเก็บผลกาแฟ กับตัดฟันต้นกาแฟของโจทก์ด้วยทำให้โจทก์ไม่สามารถที่จะใช้สอยประโยชน์จากทรัพย์ดังกล่าวของโจทก์ได้ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสัมภาระออกไปจากบ้านเลขที่ 15 และห้ามจำเลยและบริวารทำละเมิดเกี่ยวกับต้นกาแฟ จำนวน 1,000 ต้น ของโจทก์ให้จำเลยส่งมอบบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยและบริวารย้ายชื่อออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าวด้วย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องส่วนที่ให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทนั้น จำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ย่อมเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท โดยโจทก์ยอมรับในอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่บ้านพิพาทปลูกอยู่แต่โจทก์ฟ้องบังคับขับไล่จำเลยในขณะบ้านพิพาทยังปลูกอยู่ในที่ดินของผู้อื่น บ้านพิพาทจึงมีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าบ้านพิพาทที่ปลูกอยู่หากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละเกินกว่า 4,000 บาท แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วฟังว่า บ้านพิพาทหากจะได้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่เกิน 4,000 บาท และโจทก์ก็มิได้ฎีกาว่า บ้านพิพาทหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละเกินกว่า 4,000 บาท จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาท หากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละไม่เกิน 4,000 บาทคดีส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง
สำหรับคดีส่วนที่ห้ามจำเลยและบริวารทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์โดยลักลอบเก็บผลกาแฟและตัดฟันต้นกาแฟของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้ประโยชน์จากต้นกาแฟ ขอให้ห้ามจำเลยและบริวารทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์ ดังนี้ คำขอของโจทก์เป็นการขอให้สั่งห้ามจำเลยงดเว้นกระทำการใด ๆ ต่อต้นกาแฟ อันเป็นการกระทบต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือต้นกาแฟนั้นในขณะฟ้องและต่อไปภายหน้า เมื่อจำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าต้นกาแฟเป็นของจำเลย ทั้งปัญหาที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิปลูกต้นกาแฟในที่ดินดังกล่าวต่อไปหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ว่ากล่าวกันต่อไปซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญหานี้ ฉะนั้น คดีโจทก์ส่วนที่ห้ามจำเลยและบริวารทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า โจทก์ไม่นำสืบว่าโจทก์เสียหายอย่างใด เพียงใด จึงถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ปัญหาข้อสุดท้ายตามฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยคดีนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่นั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยเกี่ยวกับค่าเช่าบ้านพิพาทว่าอาจให้เช่าได้เดือนละไม่เกิน 4,000 บาท เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ในส่วนที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์เฉพาะที่ห้ามจำเลยและบริวารทำละเมิดต่อต้นกาแฟของโจทก์ไว้พิจารณา แล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ตามรูปคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3