คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7356/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในการสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ แม้จะเป็นอำนาจของศาลที่จะมีคำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 160 ทวิ โดยโจทก์ไม่จำต้องมีคำขอก็ตาม แต่ถ้าไม่ปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณาสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 46, 83, 86 ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสี่ทำประกันและทัณฑ์บนด้วย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคสอง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามมาตรา 134 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 160 ทวิ ลงโทษจำเลยที่ 4 ตามมาตรา 134 วรรคสอง ประกอบมาตรา 160 ทวิ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฐานร่วมกันแข่งรถในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานสนับสนุนให้มีการแข่งรถในทางธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ของจำเลยทั้งสี่เป็นเวลา 1 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสี่ไว้โดยให้จำเลยทั้งสี่ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติจำนวน 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวัน เวลาและสถานที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสี่และเด็กชายจีระศักดิ์ วงษ์จีน พร้อมยึดได้รถจักรยานยนต์ 4 คัน เป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดคดีนี้ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่… เห็นว่า เหตุที่ร้อยตำรวจโทจตุรงค์กับพวกไปยังที่เกิดเหตุเนื่องจากได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารว่ามีกลุ่มวัยรุ่นแข่งรถจักรยานยนต์กัน และได้สั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจตั้งจุดสกัดจับ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นจำเลยทั้งสี่ จึงชี้ให้จ่าสิบตำรวจคำรณดูและพูดว่า สงสัยกลุ่มวัยรุ่นจะแข่งรถจักรยานยนต์กัน จึงบอกให้จ่าสิบตำรวจคำรณช่วยจดจำตำหนิรูปพรรณของคนขับรถจักรยานยนต์ทั้ง 4 คัน ไว้ ลักษณะรถจักรยานยนต์มีการตกแต่งท่อไอเสียเพื่อให้มีเสียงดัง เมื่อร้อยตำรวจโทจตุรงค์ได้ขับรถยนต์ไล่ติดตามจำเลยทั้งสี่ไปและดูเข็มวัดความเร็วของรถยนต์ ปรากฏว่ารถยนต์ใช้ความเร็วประมาณ 100 ถึง 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ก่อนจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจได้ตั้งจุดสกัดจับ จึงเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ 3 คัน เลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันตราดาว ส่วนรถจักรยานยนต์คันที่ไม่ได้เลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันก็ถูกสกัดจับได้ก่อน หากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ไปตามปกติก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้ร้อยตำรวจโทจตุรงค์สงสัยและคงไม่จับกุมจำเลยทั้งสี่ เมื่อจับกุมจำเลยทั้งสี่และเด็กชายจีระศักดิ์ได้แล้ว จากการสอบถามในเบื้องต้น จำเลยทั้งสี่และเด็กชายจีระศักดิ์รับว่าได้ขับรถจักรยานยนต์แข่งกันจริง ร้อยตำรวจโทจตุรงค์กับพวกจึงได้จัดทำบันทึกจับกุมโดยแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และเด็กชายจีระศักดิ์ว่าร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต และแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 4 ว่าสนับสนุนการแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อทำบันทึกจับกุมเสร็จ จำเลยทั้งสี่และเด็กขายจีระศักดิ์กลับให้การปฏิเสธและไม่ยอมลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุมจากพฤติการณ์ที่ร้อยตำรวจโทจตุรงค์กับพวกขับรถยนต์ไล่ติดตามจำเลยทั้งสี่หลังจากได้รับแจ้งเหตุว่ามีกลุ่มวัยรุ่นขับรถจักรยานยนต์แข่งกันจนสามารถจับกุมจำเลยทั้งสี่ได้ อีกทั้งได้จัดทำบันทึกจับกุมโดยบันทึกคำให้การของจำเลยทั้งสี่ตามความจริงนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าร้อยตำรวจโทจตุรงค์กับพวกได้กระทำการไปตามหน้าที่และมิได้กลั่นแกล้งจำเลยทั้งสี่ เมื่อพิจารณาภาพถ่ายรถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ขับทั้ง 3 คัน แล้วปรากฏว่ารถจักรยานยนต์ทั้ง 3 คัน ดังกล่าวได้รับการตกแต่งอุปกรณ์เพิ่มเติมผิดไปจากสภาพปกติของรถจักรยานยนต์ทั่ว ๆ ไป โดยรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 4 ฮ-0534 ที่จำเลยที่ 1 ขับ และรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 8 ร-2467 ที่จำเลยที่ 2 ขับนั้นมีการตกแต่งที่ครอบทางด้านหน้ารถจักรยานยนต์และมีเรือนไมล์วัดความเร็วติดตั้งเพิ่มเติมทางด้านหน้าของรถกับที่จับคันบังคับเลี้ยวก็มีลักษณะผิดปกติไม่เหมือนรถจักยานยนต์ทั่ว ๆ ไป ส่วนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 7 พ-0424 ที่จำเลยที่ 3 ขับนั้นได้ถอดตัวถังน้ำมันของรถจักรยานยนต์ออก มีเพียงขวดใส่น้ำมันเท่าที่เติมน้ำมันให้รถวิ่งไปได้เท่านั้น และที่จับคันบังคับเลี้ยวก็มีการตกแต่งเพิ่มเติมผิดไปจากรถจักรยานยนต์ตามสภาพปกติ การตกแต่งรถจักรยานยนต์ทั้งสามคัน มีลักษณะตกแต่งเพื่อให้รถจักรยานยนต์ผิดไปจากสภาพปกติธรรมดา น่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อให้รถจักรยานยนต์มีความเร็วเพิ่มขึ้นเพื่อจะใช้ขับแข่งกัน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีรถยนต์ขับอยู่บนท้องถนนน้อย ย่อมเป็นเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จะนำรถจักรยานยนต์มาขับแข่งประลองความเร็วกันได้ง่าย นอกจากนี้โจทก์ยังอ้างส่งคำให้การในชั้นสอบสวนของนายวสันต์ เมธยานนต์ เป็นพยานในชั้นพิจารณา ซึ่งนายวสันต์ได้ให้การว่า ขณะเดินอยู่บริเวณที่เกิดเหตุได้ยินเสียงไซเรนของรถเจ้าพนักงานตำรวจจึงหันไปดู พบว่ามีกลุ่มวัยรุ่นขับรถจักรยานยนต์แข่งกันมา 4 คัน ด้วยความเร็วสูง โดยมีเจ้าพนักงานตำรวจขับรถยนต์กระบะไล่ติดตามจับกุม และเห็นเจ้าพนักงานตำรวจอีกชุดหนึ่งตั้งด่านสกัดจับอยู่บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันตราดาว พยานจึงหยุดดู เมื่อกลุ่มวัยรุ่นที่ขับรถจักรยานยนต์ทั้ง 4 คัน เห็นเจ้าพนักงานตำรวจตั้งด่านสกัดจับจึงขับหลบเข้าไปในปั๊มน้ำมัน แล้วต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจติดตามเข้าไปจับกุมวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวในทันที พยานจึงเดินเข้าไปดู ดังนั้นแม้โจทก์จะไม่สามารถนำนายวสันต์มาเบิกความในชั้นพิจารณาได้ แต่นายวสันต์ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับจำเลยทั้งสี่ได้ให้การในชั้นสอบสวนสอดคล้องกับคำเบิกความของร้อยตำรวจโทจตุรงค์และจ่าสิบตำรวจคำรณพยานโจทก์ ประกอบกับเด็กชายจีระศักดิ์ซึ่งถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยทั้งสี่ แต่ได้แยกฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากเนื่องจากเป็นเยาวชนก็ได้ให้การรับสารภาพในคดีดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้องในข้อหาร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยทั้งสี่นำสืบอ้างว่าขับรถจักรยานยนต์ไปตามปกติและแวะเข้าไปเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันตราดาวนั้นยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ในการสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ แม้จะเป็นอำนาจของศาลที่จะมีคำสั่งได้ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 ทวิ โดยโจทก์ไม่จำต้องมีคำขอก็ตาม แต่คดีนี้ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณาสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้”
พิพากษากลับว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และฐานร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคหนึ่ง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และฐานเป็นผูสนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 134 วรรคสอง, 160 วรรคสาม, 160 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งแต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือน และปรับ 3,333.33 บาท โทษจำคุกของจำเลยทั้งสี่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี และให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสี่ไว้โดยให้จำเลยทั้งสี่ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

Share