แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีเอากับลูกหนี้ตามคำพิพากษาภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาล มีคำพิพากษาเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้ จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เป็นงวด ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนดเริ่มชำระงวดแรกวันที่ 2 พฤษภาคม 2529 หากผิดนัดให้บังคับคดีได้ทันที และจำเลยทั้งสองผิดนัดตั้งแต่ งวดแรกดังนี้ กำหนดระยะเวลา 10 ปี ที่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องเริ่มบังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่3 พฤษภาคม 2529 ซึ่งเป็นวันแรกที่โจทก์อาจขอให้บังคับคดีเอากับจำเลยทั้งสองได้เป็นต้นไป เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2535จึงยังอยู่ภายในกำหนด 10 ปี ที่โจทก์มีสิทธิที่จะบังคับคดี เอากับจำเลยทั้งสองโจทก์จึงสามารถนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมโจทก์ได้บังคับคดีโดยนำที่ดินที่จำเลยออกขายทอดตลาดแต่ไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยังเป็นหนี้โจทก์คิดเป็นต้นเงิน 123,549.54 บาท และดอกเบี้ยจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดมาชำระหนี้โจทก์ส่วนที่เหลือได้อีก จึงถือเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำวินิจฉัยว่า ศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2529 โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจนำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2529 ให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระเป็นงวดตามจำนวนที่ระบุและภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นคราว ๆกำหนดชำระงวดแรกวันที่ 2 พฤษภาคม 2529 หากผิดนัดย่อมให้บังคับคดีทันที จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระเงินตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2529โจทก์บังคับคดีได้รับชำระหนี้บางส่วนแล้ว จำเลยทั้งสองเป็นหนี้ต้นเงินจำนวน 123,549.54 บาท ต่อมา วันที่ 2 พฤษภาคม 2539 โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ล้มละลาย เห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ครบถ้วนภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 กำหนดเวลา 10 ปี ที่โจทก์จะต้องขอให้บังคับแก่จำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2529 อันเป็นวันแรกที่โจทก์อาจขอให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้เป็นต้นไป เมื่อโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2539 จึงอยู่ภายในกำหนด 10 ปี ตามที่โจทก์ฎีกา คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าสมควรจะยกพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ขึ้นพิจารณาดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1นำมาวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษามาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายเพราะจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาและโจทก์อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดการบังคับคดีอันเป็นสิทธิของโจทก์เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ตามคำพิพากษาไม่น้อยกว่า 50,000 บาท แม้ต่อมาระหว่างการพิจารณาหรือหลังรับฟ้องจะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สมควรจะยกเหตุนี้ขึ้นวินิจฉัยในชั้นนี้ส่วนที่โจทก์หรือเจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยทั้งสองจะขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นขอรับชำระหนี้หรือมีเหตุอื่นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14ที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายในภายหลังรับฟ้องแล้วแต่กรณี ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องและพิจารณาต่อไป”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาและดำเนินการต่อไป