แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีของโจทก์ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงย่อมเป็นคุณเฉพาะแก่ฝ่ายโจทก์ หาได้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองซึ่งฟ้องแย้งด้วยไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองฟ้องแย้งพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมของผู้ตายร่วมกันชำระค่าเสียหาย
294,958 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 274,590 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 276,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท แต่ทั้งนี้จำเลยทั้งสองไม่ต้องร่วมกันรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายสุข ผู้ตายที่ตกทอดได้แก่จำเลยทั้งสองให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า นายสุทธิมล พนักงานขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ขับรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 10 – 7154 นครราชสีมาจากจังหวัดมุกดาหารมุ่งหน้าไปจังหวัดยโสธร เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณสี่แยกถนนเลี่ยงเมืองตัดกับถนนวารีราชเดช รถยนต์คันดังกล่าวได้เฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกหกล้อหมายเลขทะเบียน 80 – 0578 ยโสธร ซึ่งนายสุข เป็นคนขับ รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนนายสุขถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดเหตุเดียวกัน การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อายุความในการเรียกค่าเสียหายของจำเลยทั้งสองจึงต้องสะดุดหยุดลงด้วยนั้น เห็นว่า แม้การฟ้องคดีของโจทก์และการฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจะเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในมูลละเมิดเหตุเดียวกัน แต่การที่จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าหนี้ ส่วนโจทก์เป็นลูกหนี้ โจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงเป็นคนละฝ่ายกัน การฟ้องคดีของโจทก์ซึ่งทำให้อายุความสะดุดหยุดลงย่อมเป็นคุณเฉพาะแก่ฝ่ายโจทก์ หาได้เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองซึ่งฟ้องแย้งด้วยไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองฟ้องแย้งพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยทั้งสองรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ