คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6369/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาจ้างเหมาทำและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายใน โดยกำหนดให้จำเลยทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2532 หากจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวหรือ ภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้ตกลงย่นหรือขยายกันแล้ว จำเลยยอมเสียค่าปรับให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงขยายกำหนดระยะเวลาทำงานให้จำเลยออกไปถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532แล้วจำเลยยังทำไม่เสร็จตามสัญญา แต่โจทก์มิได้ขอบังคับตามสัญญาหรือสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับแต่อย่างใด กลับตกลงเพิ่มเติมงานจากสัญญาเดิมขึ้นอีกโดยไม่อาจทราบได้ว่างานจะเสร็จเมื่อใดและไม่ประสงค์ที่จะปรับ และมีการจ่ายเงินให้จำเลยอีกในภายหลังวันที่ครบกำหนดตามสัญญาแล้วตามพฤติการณ์ถือได้ว่า โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาทำงานตามสัญญาจ้างเหมาเป็นสาระสำคัญ จึงจะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาค่าปรับจากจำเลยตามสัญญา สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการจ้างเหมาให้จำเลยจัดทำและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในบ้านจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งมิได้บังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง เมื่อจำเลยมีอำนาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ไม่ยอมรับเฟอร์นิเจอร์ลอยโดยคิดค่าเสียหายเท่ากับราคาที่ค้างชำระอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงกันยอมรับเฟอร์นิเจอร์ลอยและจะชำระราคาที่ค้างอยู่ และเมื่อโจทก์ได้รับเฟอร์นิเจอร์ลอยไปแล้ว ดังนี้ ศาลชอบที่จะบังคับให้โจทก์ชำระราคาตามที่ตกลงนั้นได้ มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2532 โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยจัดทำและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายในบ้าน ต่อมาโจทก์ว่าจ้างจำเลยทำงานอื่นเพิ่มเติมอีกหลายรายการ ภายหลังทำสัญญาจำเลยทำงานล่าช้าใช้วัสดุอุปกรณ์ไม่ถูกต้องตามแบบและทำงานไม่เรียบร้อย โจทก์บอกให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว จำเลยรับจะดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยและขอขยายระยะเวลาการทำงานอกไปถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 โดยยืนยันว่าจะทำงานให้เรียบร้อยภายในกำหนดและจะไม่ขอขยายระยะเวลาทำงานอีก หากจำเลยทำงานไม่เสร็จยอมให้โจทก์ปรับตามสัญญา แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยก็ไม่สามารถทำงานให้เสร็จและแก้ไขงานที่บกพร่องให้เรียบร้อยโจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโจทก์ขอคิดค่าปรับตามสัญญาข้อ 6 วันละ 1,000 บาท นับแน่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2532ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 11 เดือน 20 วัน เป็นเงิน 350,000 บาทจำเลยต้องมัดจำค่าเฟอร์นิเจอร์ลอยอีก 38,805 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2532 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 1 ปี เป็นเงิน 2,910 บาท โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาดำเนินการแก้ไข รวมทั้งเก็บงานและซื้ออุปกรณ์มาเปลี่ยนใหม่เป็นเงิน 91,000 บาท รวมเป็นเงิน 482,715 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 482,715 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุที่งานล่าช้าเกินกำหนดตามสัญญาเป็นความผิดของโจทก์เนื่องจากสถานที่ทำงานและอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำงานที่โจทก์จะต้องเป็นฝ่ายจัดหาให้แก่จำเลยอยู่ในสภาพไม่พร้อม จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบและขอขยายระยะเวลาทำงาน ซึ่งโจทก์ยินยอมขยายระยะเวลาทำงานและรับมอบงานโดยไม่ทักท้วง เมื่อจำเลยส่งมอบงานงวดสุดท้าย โจทก์ไม่ยอมรับมอบงานโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อประวิงการจ่ายเงินค่าจ้างหรือมิฉะนั้นก็มีเจตนาที่จะไม่ยอมจ่ายค่าจ้าง จำเลยจัดทำติดตั้งและแก้ไขงานให้โจทก์เรียบร้อย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าปรับอัตราวันละ 1,000 บาท นับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2532ถึงวันฟ้อง โจทก์มิได้ว่าจ้างบุคคลใดมาดำเนินการแก้ไขงานหรือซื้ออุปกรณ์มาเปลี่ยนหากโจทก์ดำเนินการแก้ไขความเสียหายทุกรายการไม่เกิน 10,000 บาท เฟอร์นิเจอร์ลอยที่โจทก์สั่งซื้อจำเลยได้จัดทำเสร็จเรียบร้อยพร้อมส่งมอบ แต่โจทก์ไม่ยอมมารับและไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินมัดจำ 38,805 บาท คืนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจัดทำงานแล้วเสร็จและส่งมอบงานแก่โจทก์เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2533ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน 329,181.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยจำนวน 320,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าปรับจากจำเลยหรือไม่ เห็นว่าโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาจ้างเหมาทำและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งภายในโดยกำหนดให้จำเลยทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2532 หากจำเลยไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวหรือภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้ตกลงย่นหรือขยายกันแล้ว จำเลยยอมเสียค่าปรับให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงขยายกำหนดระยะเวลาทำงานให้จำเลยออกไปถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 แล้วจำเลยยังทำให้เสร็จ จะถือว่าจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 จำเลยยังทำงานไม่เสร็จตามสัญญา แต่โจทก์มิได้ขอบังคับตามสัญญาหรือสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับแต่อย่างใด กลับตกลงเพิ่มเติมงานจากสัญญาเดิมขึ้นอีกโดยไม่อาจทราบได้ว่างานจะเสร็จเมื่อใดและไม่ประสงค์ที่จะปรับและมีการจ่ายเงินให้จำเลยอีกในภายหลังคือวันที่ 7 ธันวาคม 2532และวันที่ 25 มกราคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดตามสัญญาแล้วตามพฤติการณ์ถือได้ว่า โจทก์มิได้มีเจตนาที่จะถือเอากำหนดเวลาทำงานตามสัญญาจ้างเหมาเป็นสาระสำคัญ จึงจะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าปรับจากจำเลยตามสัญญา
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อต่อมาว่า การนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลานั้น เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เห็นว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นการจ้างเหมาให้จำเลยจัดทำและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในบ้าน จึงเป็นสัญญาจ้างทำของ ซึ่งมิได้บังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงการนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ขณะฟ้องแย้งจำเลยยังมิได้ส่งมอบเฟอร์นิเจอร์ลอยให้แก่โจทก์ เพิ่งมาส่งมอบให้โจทก์หลังฟ้องจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องเห็นว่า จำเลยได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ไม่ยอมรับเฟอร์นิเจอร์ลอยโดยคิดค่าเสียหายเท่ากับราคาที่ค้างชำระอยู่ จำเลยจึงมีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงกันยอมรับเฟอร์นิเจอร์ลอยและจะชำระราคาที่ค้างอยู่ เมื่อโจทก์ได้รับเฟอร์นิเจอร์ลอยไปแล้วจึงชอบที่จะบังคับให้โจทก์ชำระราคาตามที่ตกลงนั้นได้
พิพากษายืน

Share