แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์ก็ตามแต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องและมีคำขอบังคับให้จำเลยรับผิดในส่วนนี้มาด้วย การที่ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เกี่ยวกับเงินส่วนนี้ จึงเป็นการพิพากษาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 แล้ว และการบังคับคดีก็ต้องดำเนินการไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ดังนี้การที่โจทก์ไปโอนที่ดินและได้ออกเงินค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์ไปก่อนโดยโจทก์ถือว่ากระทำแทนจำเลยนั้น เป็นเรื่องโจทก์ดำเนินการไปเอง และเป็นการบังคับที่นอกเหนือไปจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งไม่อาจกระทำได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 394 เฉพาะส่วนของจำเลย 1 ใน 6 ส่วนของที่ดินทั้งแปลงแก่โจทก์หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ทั้งนี้โจทก์ต้องชำระค่าที่ดินแก่จำเลยหลังจากหักเงินค่าปรับตามสัญญาแล้วอีก 550,000 บาทและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวมสองศาลให้ 20,000 บาท ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่า โจทก์ได้รับโอนที่ดินตามคำพิพากษาแล้วและโจทก์ต้องชำระเงินค่าที่ดินแก่จำเลย 550,000 บาท แต่จำเลยจะต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ 171,300 บาทกับต้องใช้ค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์ ซึ่งจำเลยจะต้องชำระตามสัญญาจะซื้อจะขาย และโจทก์ได้ชำระไปก่อนแล้วอีก 273,582 บาทรวม 448,882 บาทเมื่อหักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากเงินค่าที่ดินแล้ว โจทก์คงชำระค่าที่ดินแก่จำเลยเพียง 105,118 บาท ขอวางเงินจำนวนดังกล่าวให้จำเลยรับไป
จำเลยขอรับเงินที่โจทก์วางศาล 105,118 บาท ไปแล้วยื่นคำร้องว่า โจทก์จะต้องชำระเงินแก่จำเลย 550,000 บาท แต่โจทก์ชำระเพียง 105,118 บาท จึงไม่ครบจำนวนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์ของโจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยตามคำพิพากษา
วันนัดพร้อมจำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีสิทธิหักค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์รวม273,582 บาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีสิทธินำเงินค่าธรรมเนียมการโอน ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและอากรแสตมป์รวม273,582 บาท หักออกจากเงินค่าที่ดิน เพราะเป็นการบังคับคดีนอกเหนือจากคำพิพากษา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิหักเงินค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์จำนวน 273,582 บาท จากค่าที่ดิน550,000 บาท ที่ต้องชำระให้แก่จำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์ก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้บรรยายฟ้องและมีคำขอบังคับให้จำเลยรับผิดในส่วนนี้มาด้วยแต่อย่างใดศาลอุทธรณ์จึงมิได้พิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เกี่ยวกับเงินส่วนนี้ ซึ่งเป็นการพิพากษาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ที่ห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือทำคำสั่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ส่วนการบังคับคดีก็จะต้องดำเนินการไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271การที่โจทก์ไปโอนที่ดินและได้ออกเงินค่าธรรมเนียมการโอนที่ดินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์ไปก่อนโดยโจทก์ถือว่ากระทำแทนจำเลยนั้น เป็นเรื่องโจทก์ดำเนินการไปเองการที่โจทก์หักเงินค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและค่าอากรแสตมป์จากเงินค่าที่ดินที่โจทก์ต้องชำระให้จำเลยจึงเป็นการบังคับที่นอกเหนือไปจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งไม่อาจกระทำได้จำเลยชอบที่จะบังคับคดีต่อไปได้
พิพากษายืน