คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านจำเลยร่วม ต่อมาความปรากฏว่ารถคันนั้นเป็นของ ค.ที่หายไป ตำรวจจับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการร้านจำเลยร่วมเป็นผู้ต้องหาฐานรับของโจทก์และยึดรถคันดังกล่าวไว้ ดังนี้แม้โจทก์จะได้รถจักรยานยนต์จากการซื้อขายในท้องตลาดและมีสิทธิที่จะติดตามเอารถคืนได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏชัดแจ้งแล้วว่ารถเป็นของ ค.ที่หายไป ซึ่งโจทก์จะต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงและพนักงานสอบสวนคดีที่จำเลยต้องหาว่ารับของโจรนั้นก็ว่า ถึงโจทก์จะไปขอรับรถจักรยานยนต์นั้นคืนก็ไม่คืนให้ จำเลยในฐานะผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะทรัพย์สินที่ซื้อขายหลุดไปจากโจทก์ เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา 479 และแม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอให้ชดใช้ราคาจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยตรงตามมาตรา 1332 ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคันอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนั้น ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 165 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
(วรรค 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตั้งร้านค้าจำหน่ายรถจักรยานยนต์อยู่ในตลาดเทศลบาลเมืองสิงห์บุรี ใช้ชื่อร้านค้า “ไทยฮวด” เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าชนิด ๑๗๕ ซี.ซี. จากร้านค้าของจำเลย ๑ คันราคา ๙,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๑๒ ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์อ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงเอกสารเจ้าของแท้จริงจึงเอาคืนไป โจทก์ซื้อรถจากจำเลยในท้องตลาดโดยสุจริต เป็นความผิดและความบกพร่องของจำเลยที่ขโมยรถของผู้อื่นมาขาย โจทก์มีรถแทร็กเตอร์รับจ้างเกรดดินและมีรถยนต์รับจ้างบรรทุกสินค้านับแต่รถถูกตำรวจยึด โจทก์ต้องว่าจ้างรถผู้อื่นไปติดต่องานเสียค่าจ้างเดือนละ ๕๐๐ บาท เป็นเวลาประมาณ ๘ เดือน เป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยคืนเงินราคารถจักรยานยนต์ ๙,๐๐๐ บาทและค่าเสียหาย ๔,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่าไม่ได้ตั้งร้านค้าจำหน่ายรถจักรยานต์ใช้ชื่อว่าร้านไทยฮวดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ไปจากจำเลย โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านค้าของบุคคลอื่นซึ่งได้รถมาในทางการค้าขายในท้องตลาดโดยสุจริต และโจทก์ซื้อไปจากผู้ขายในท้องตลาดโดยสุจริต จึงได้กรรมสิทธิ์โดยชอบ ไม่จำต้องมอบรถคันดังกล่าวให้แก่ผู้ใดโดยยังไม่ได้รับชำระราคา ตำรวจยึดรถไปจากโจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่รับรองหากจะมีก็เป็นการที่โจทก์ยอมให้ยึดไปจึงเป็นความผิดของโจทก์เอง ไม่ใช่เรื่องการรอนสิทธิโจทก์ไม่มีธุรกิจที่จะใช้รถจักรยานยนต์ติดต่อการงาน และไม่ได้จ้างรถจักรยานยนต์เดือนละ ๕๐๐ บาท จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายโจทก์มิได้ฟ้องภายใน ๓ เดือนนับแต่วันที่โจทก์มอบรถจักรยานยนต์ให้แก่บุคคลอื่นไป คดีขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยฮวดพานิช โดยนายเจ็งเกียจิ๋ว แซ่เจ็ง ผู้จัดการเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่าโจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์ไปจากท้องตลาดโดยสุจริตจำเลยร่วมได้มาในทางการค้าโดยสุจริต โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ควรไปเรียกร้องเอากับผู้ที่เอารถไปจากโจทก์ จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดจำเลยร่วมไม่ทราบและไม่รับรองว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ หากจะเป็นความจริงก็เพราะโจทก์ยอมให้ยึดไปเป็นความผิดของโจทก์เอง โจทก์ไม่ได้เสียหายดังฟ้อง โจทก์ไม่ได้ฟ้องภายใน ๓ เดือนนับแต่วันที่โจทก์มอบรถจักรยานยนต์ให้บุคคลอื่น คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยในเหตุรอนสิทธิได้โจทก์จึงเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์และค่าเสียหายได้ สำหรับค่าเสียหายเรียกได้เดือนละ ๕๐๐ บาท ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๘๑ ต้องใช้อายุความตามมาตรา ๑๖๔ ซึ่งกำหนด ๑๐ ปีบังคับ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยและจำเลยร่วมกันใช้ราคารถจักรยานยนต์กับค่าไม่ได้ใช้รถรวมเป็นเงิน ๙,๔๐๐ บาท และค่าไม่ได้ใช้รถเดือนละ ๕๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้ราคารถจักรยานยนต์ ๙,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังไว้ว่ารถจักรยานยนต์คันที่โจทก์ซื้อจากร้านจำเลยร่วมนั้นเป็นของบริษัทคาวาซากิจที่หายไป และตำรวจได้ยึดรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไว้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า
๑. จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะการรอนสิทธิหรือไม่
๒. โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์และค่าเสียหายหรือไม่
๓. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ปัญหาข้อ ๑ เห็นว่าแม้โจทก์จะได้รถจักรยานยนต์จากการซื้อขายในท้องตลาดและมีสิทธิที่จะติดตามเอารถคืนได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ก็ตามแต่เมื่อความปรากฏว่าเป็นรถของ ค.ที่หายไป ซึ่งโจทก์จะต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงและพนักงานสอบสวนในคดีที่จำเลยต้องหาว่ารับของโจรก็ว่า ถึงโจทก์จะมาขอรับจักรยานยนต์คืนก็ไม่คืนให้ จำเลยในฐานะผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะทรัพย์สินที่ซื้อขายหลุดไปจากโจทก์เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา ๔๗๙ และแม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอให้ชดใช้ราคาจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยตรงตามมาตรา ๑๓๓๒ ก็มิได้หมายความว่า โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
ปัญหาข้อที่ ๒ ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขายการที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้อว่าจ้างรถคนอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
ปัญหาข้อที่ ๓ การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๘๑ บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด ๓ เดือนนั้นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา ๔๘๑ แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา ๑๖๔ ซึ่งมีอายุความ ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share