คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนิเซีย อันเป็นการส่งออกตามประมวลรัษฎากรมาตรา 77/1(14) โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสำหรับการประกอบกิจการประเภทการส่งออกสินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(3) แต่ตามมาตรา 81/1(1) กำหนดให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องโดยกรอกรายการยอดขายขาดไป 1,000,000 บาท แต่โจทก์ไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีที่โจทก์ยื่นเปลี่ยนแปลงไปที่โจทก์จะต้องนำมาชำระให้ถูกต้องพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมมาตรา 83/4 จึงไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 83(4) และ 89/1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปจำหน่ายต่างประเทศ 3 ครั้ง ราคารวมทั้งสิ้น1,117,558.22 บาท ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มโดยระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดไป 1,000,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นเงินรวม107,112 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วย ได้อุทธรณ์คัดค้านว่าโจทก์เพียงแต่บกพร่องในเรื่องการกรอกรายการภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีเจตนาทุจริตหลีกเลี่ยงภาษี คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินชอบแล้วให้ยกอุทธรณ์โจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกล่าวคือ สินค้าของโจทก์ได้รับการยกเว้นอากรตามประมวลรัษฎากร แม้โจทก์กรอกรายการภาษีมูลค่าเพิ่มยอดขายขาดไป โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนที่ขาดนี้ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 5 เมษายน 2538
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ กค.0842/1928 ลงวันที่5 เมษายน 2538
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่แถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าเมื่อวันที่4, 23 และ 25 พฤษภาคม 2537 โจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซีย 2 ครั้ง และประเทศอินโดนิเซีย1 ครั้ง เป็นมูลค่า 423,681 บาท 272,029.22 บาท และ421,848 บาท โจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.30) ตามประมวลรัษฎากรว่า เดือนพฤษภาคม ปี 2537มียอดขายที่ต้องเสียภาษีจำนวน 175,000 บาท ยอดภาษีซื้อที่มีสิทธินำมาหักจำนวน 161,748.33 บาท ภาษีสุทธิที่ต้องชำระเป็นเงิน 927.62 บาท ต่อมาวันที่ 8 สิงหาคม 2537จำเลยที่ 1 ได้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.73) ให้โจทก์ชำระเงินภาษีจำนวน 107,112 บาท โดยอ้างว่าโจทก์ระบุยอดขายที่เสียภาษีขาดหายไป 1,000,000 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ว่า คำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางซึ่งวินิจฉัยว่า กรณีของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากร เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องแล้วเป็นเหตุให้จำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น เมื่อกรณีของโจทก์ยื่นแบบแล้วไม่เป็นเหตุให้จำนวนภาษีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรไม่จำต้องชำระภาษีพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินและตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ข้อวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลางเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติกฎหมายนั้น เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 83/4แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับส่วน 13 และส่วน 14ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วน ไม่ว่าการคลาดเคลื่อนนั้นจะเป็นเหตุให้จำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามี ให้ถูกต้องครบถ้วน โดยยื่น ณสถานที่ที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ก่อน” เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์กรอกรายการยอดขายที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0ขาดไป 1,000,000 บาท จริง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนโจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับชำระภาษีถ้ามี ให้ถูกต้องครบถ้วน แต่ถ้าไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีเปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการจดทะเบียนก็ยังคงมีหน้าที่มายื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งให้ถูกต้องโดยไม่ต้องชำระภาษีแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ส่งสินค้าประเภทเซรามิคไปขายที่ประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนิเซีย ซึ่งเป็นการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักรเพื่อส่งไปต่างประเทศอันเป็นการส่งออกตามนัยมาตรา 77/1(14) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนสำหรับการประกอบกิจการประเภทการส่งออกสินค้าที่มิใช่การส่งออกสินค้าซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(3) แต่ตามมาตรา 81/1(1) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้ใช้อัตราร้อยละ 0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มแม้โจทก์จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้อง แต่โจทก์ไม่มีจำนวนภาษีในเดือนภาษีที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 เปลี่ยนแปลงไปที่โจทก์จะต้องนำมาชำระให้ถูกต้องพร้อมกับยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติมตามมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากรดังนี้ กรณีของโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรา 89(4)และ 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร”
พิพากษายืน

Share