คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5268/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จ้างจำเลยวางท่อประปาโดยสัญญาว่า หากโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา บรรดางานที่จำเลยได้ทำขึ้นก่อนแล้วให้ตกเป็นของโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนและยอมให้โจทก์ระงับการจ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ ข้อตกลงนี้มีลักษณะให้ถือเอาบรรดาผลงานที่จำเลยได้ทำขึ้นก่อนนั้นอันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่ใช่เป็นจำนวนเงินเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 หากจำเลยผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิริบเบี้ยปรับนี้ได้ตามมาตรา 381 วรรคแรกถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ตามมาตรา 383 วรรคแรก ดังนั้นถ้าให้โจทก์ริบเอาบรรดางาน ที่จำเลยได้ทำขึ้นทั้งหมดโดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนและไม่ยอมลดจากค่าเสียหายที่โจทก์เรียกได้ก็จะเป็นการเรียกเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลฎีกาให้ลดเบี้ยปรับลงเท่ากับค่างานที่จำเลยทำให้แก่โจทก์ไปแล้วก่อนบอกเลิกสัญญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่26 มิถุนายน 2529 โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างให้จำเลยที่ 1 วางท่อประปาขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังหมู่บ้านสีวลีและศูนย์การค้าวิภาวดีรังสิตอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เพื่อใช้ในราชการของการประปาประชาธิปัตย์ จังหวัดปทุมธานี รวมราคาทั้งสิ้น196,200 บาท เริ่มทำการก่อสร้างภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2529แล้วเสร็จบริบูรณ์ภายในวันที่ 23 ตุลาคม 2529 เมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2529 จำเลยที่ 1 ได้เบิกและรับมอบท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 150 มิลลิเมตรพร้อมข้อต่อและแหวนยางครบชุดและท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 200 มิลลิเมตร พร้อมข้อต่อและแหวนยางครบชุดไปจากโจทก์เพื่อนำไปดำเนินการวางท่อตามสัญญาซึ่งจำเลยที่ 1จะต้องทำการวางท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 150 มิลลิเมตร ยาวประมาณ775 เมตร และวางท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 200 มิลลิเมตร ยาวประมาณ1,545 เมตร แต่จำเลยที่ 1 ได้ทำการวางท่อซีเมนต์ใยหินขนาด150 มิลลิเมตรได้ความยาวประมาณ 390 เมตร และวางท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 200 มิลลิเมตร ได้ความยาวประมาณ 729 เมตร แล้วได้ทิ้งงานไม่ทำการวางท่อให้แล้วเสร็จตามสัญญา ทำให้โจทก์ต้องสูญเสียท่อซีเมนต์ขนาด 150 มิลลิเมตร จำนวน 8 ท่อน คิดเป็นเงิน6,318.40 บาท และท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 200 มิลลิเมตร จำนวน137 ท่อนคิดเป็นเงิน 186,628.25 บาท รวมเป็นเงิน 192,946.65 บาทต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2529 โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาหลังจากนั้นโจทก์ได้จ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีกนกพรการโยธาทำการวางท่อซีเมนต์ใยหินในส่วนที่จำเลยที่ 1 ทิ้งงานไปเสียเงินค่าจ้าง 319,270 บาท งานส่วนนี้โจทก์จ้างจำเลยที่ 1เป็นเงิน 196,200 บาท คิดเป็นค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเป็นเงิน 123,070บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์และต้องถูกปรับตามสัญญาในอัตราวันละ 197 บาท นับแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2529อันเป็นวันถัดจากวันแล้วเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์2530 อันเป็นวันบอกเลิกสัญญารวม 105 วัน คิดเป็นเงิน 20,685 บาทค่าท่อซีเมนต์ใยหินขนาด 150 มิลลิเมตร จำนวน 8 ท่อน และขนาด200 มิลลิเมตร จำนวน 137 ท่อน เป็นเงิน 192,946.65 บาทรวมเป็นเงิน 336,701.65 บาท แต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้างโจทก์ในการวางท่อประปาลอดถนนสายรังสิต-บางพูนตามสัญญาเลขที่ 11/2529 มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวเป็นเงิน 226,500 บาท โจทก์ได้นำหนี้จำนวนนี้หักกลบลบหนี้แล้วคงเหลือหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์เป็นเงิน110,201.65 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน110,201.65 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ก่อนครบกำหนดสัญญา ท่อซีเมนต์ใยหินบางส่วนถูกลักไป จำเลยทั้งสองขอให้โจทก์ส่งท่อซีเมนต์ใยหินเพิ่มเติมเพื่อจะทำงานต่อ แต่โจทก์มิได้ส่งให้จึงไม่อาจทำงานต่อไปได้ จำเลยทั้งสองมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าปรับและให้ชดใช้ค่าเสียหายที่จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดศรีกนกพรการโยธาทำงานต่อ จำเลยทั้งสองดำเนินงานวางท่อไปแล้ว1,119 เมตร คิดเป็นราคางาน 94,632 บาท มีสิทธิได้รับค่าจ้างส่วนนี้หรือนำไปหักกลบลบหนี้กับค่าวัสดุที่หายไปจำนวน 192,946.65 บาทจะเหลือจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ 98,314.65บาท ซึ่งเมื่อนำไปหักกลบลบหนี้กับค่าจ้างที่โจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลยทั้งสองตามสัญญาเลขที่ 11/2529 จำนวน 226,500 บาท แล้วโจทก์ยังค้างค่าจ้างจำเลยทั้งสองอีก 128,185.35 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน12,499.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีเพียงข้อกฎหมายข้อเดียวว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นำบรรดาค่างานที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นซึ่งตามสัญญาถือว่าตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ไปหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้รับนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนมาแล้วว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 วางท่อประปาขยายเขตจำหน่ายน้ำตามสัญญาจ้างเหมาวางท่อเอกสารหมาย จ.6 โดยสัญญาข้อ 21 มีใจความว่าเมื่อผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาแล้ว บรรดางานที่ผู้รับจ้างได้ทำขึ้นและสิ่งของต่าง ๆ ที่นำมาไว้ในสถานที่ทำงานนั้น ผู้รับจ้างยอมให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้าง ผู้รับจ้างจะเรียกค่าตอบแทนและค่าเสียหายใด ๆ ไม่ได้และผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิระงับการจ่ายค่าจ้างที่ค้างเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ในกรณีที่ต้องจ้างบุคคลอื่นทำงานที่ค้างให้เสร็จสมบูรณ์หากเงินค่างานที่เหลือจ่ายไม่พอสำหรับการทำงานเป็นจำนวนเท่าใดผู้รับจ้างยอมให้หักเงินจำนวนนั้นจากค่าจ้างที่ค้างและยอมชดใช้เงินที่ขาดอยู่จนครบถ้วน หากมีเงินค่าจ้างยังเหลืออยู่อีกผู้ว่าจ้างจะคืนให้ผู้รับจ้างทั้งหมด พิเคราะห์สัญญาข้อ 21ดังกล่าวแล้วมีความมุ่งหมายว่า หากโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาบรรดางานที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นก่อนแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนและจำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ระงับการจ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ทั้งโจทก์มีสิทธิว่าจ้างบุคคลภายนอกทำงานที่ค้างต่อไปได้หากค่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่สูงกว่าค่าจ้างเดิม จำเลยที่ 1ยอมให้นำค่าจ้างเดิมที่ยังค้างจ่ายซึ่งเป็นหลักประกันการชำระหนี้ไปหักออกจากค่าจ้างรายใหม่ ถ้ายังไม่พอชำระค่าจ้างรายใหม่ที่สูงกว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ส่วนที่ยังขาดจนครบถ้วนแต่ถ้าหักแล้วมีเงินเหลืออยู่โจทก์จะคืนให้จำเลยที่ 1 ทั้งหมดข้อตกลงนี้จึงมีลักษณะให้ถือเอาบรรดาผลงานที่จำเลยที่ 1ได้ทำขึ้นก่อนนั้นอันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นที่ไม่ใช่เป็นจำนวนเงินเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 382 หากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่วางท่อให้ถูกต้องสมควรโจทก์ย่อมมีสิทธิริบเบี้ยปรับนี้ได้ตามมาตรา 381 วรรคแรกถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตามมาตรา 383 วรรคแรก ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าให้โจทก์ริบเอาบรรดางานที่จำเลยที่ 1 ได้ทำขึ้นทั้งหมดโดยโจทก์ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนและไม่ยอมลดจากค่าเสียหายที่โจทก์เรียกได้ก็จะเป็นการเรียกเบี้ยปรับสูงเกินส่วน จึงเห็นสมควรให้ลดเบี้ยปรับลงเท่ากับค่างานที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้แก่โจทก์ไปแล้วก่อนบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 94,632 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นำยอดเงินจำนวนนี้ไปหักออกจากค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิจะได้รับนั้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว”
พิพากษายืน

Share