คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาดแล้ว บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ ซึ่งรวมทั้งลูกหนี้ร่วมหรือผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ที่จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับลูกหนี้ในภายหน้า ต่างต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ภายในเวลากำหนดและกฎเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 91 และมาตรา 101 แต่สิทธิที่บรรดาเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้หรือไม่ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องทำการตรวจคำขอรับชำระหนี้และทำการสอบสวนเสียก่อนตามมาตรา 105
เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เจ้าหนี้รายที่ 1 ได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ไปแต่บางส่วนบ้างแล้ว การที่เจ้าหนี้รายที่ 1 จะใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอากับกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในฐานะเจ้าหนี้โดยตรงจึงไม่อาจกระทำได้ ตามกรณีของเจ้าหนี้รายที่ 1 นี้จึงเป็นกรณีที่เจ้าหนี้รายที่ 1 ขอใช้สิทธิที่ตนจะต้องร่วมกับลูกหนี้รับผิดต่อเจ้าหนี้รายที่ 5ที่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้เท่านั้น ตามมาตรา 101 วรรคหนึ่ง แม้เจ้าหนี้รายที่ 1 ถูกเจ้าหนี้รายที่ 5 ฟ้องคดีต่อศาลขอให้ชำระหนี้แล้วและคดียังไม่ยุติ ผลของคดีแพ่งที่ยังไม่ยุตินั้นก็ไม่มีผลแต่ประการใดถึงสิทธิการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 1หรือเจ้าหนี้รายที่ 5 ในเมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วเพราะในที่สุดกฎหมายบังคับให้เจ้าหนี้รายใดของลูกหนี้ที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นไว้ก็ต้องมายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทั้งสิ้น
เมื่อเจ้าหนี้รายที่ 5 ได้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้รายที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ ย่อมหมดสิทธิที่จะขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้สำหรับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้ต่อไป ตามมาตรา 101 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

Share