คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5552/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมและขอให้การรับสารภาพในชั้นฎีกามีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกา เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสองที่บัญญัติให้กระทำได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาส่วนที่จำเลย ขอให้รอการลงโทษก็เป็นดุลพินิจที่ศาลจะสั่งในคำพิพากษาต่อไป ศาลฎีกาจึงให้ยกคำร้องนี้ ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน จำเลยทราบดีว่าที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ดินมีเพียง 2 ไร่ โดยด้านทิศตะวันออกจดภูเขาด้านทิศเหนือจดถนนสาธารณประโยชน์และภูเขา ตามที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินดังกล่าว ขณะเจ้าหน้าที่บริหารที่ดินอำเภอไปตรวจสอบที่ดินที่เกิดเหตุตามคำสั่งของนายอำเภอพบมีการบุกรุกไถภูเขาซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออกและตามบันทึกที่โจทก์และจำเลยนำรังวัด ที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้น ปรากฏว่าจำเลยนำชี้ที่ดินของจำเลยเพียง 3 ด้าน โดยจำเลยทราบดีว่าหากจำเลยนำชี้ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ด้าน ที่ดินของจำเลยจะมีเนื้อที่มากกว่าที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินของจำเลยนอกจากนี้หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า จำเลยบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ทางอำเภอแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุจำเลยทราบแล้วไม่ยอมรื้อถอนและไม่ยอมออกไป พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินการที่จำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินที่พิพาทตามคำสั่งของนายอำเภอซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ แม้จำเลยจะอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยก็ไม่ใช่เหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะทำให้จำเลยพ้นจากความผิดฐานบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368, 83, 91 ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิกับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ จำคุก 10 วัน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน 10 วัน กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยยื่นคำร้อง ฉบับลงวันที่11 สิงหาคม 2541 ขอถอนข้อต่อสู้ตามฎีกา โดยขอรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ และขอให้รอการลงโทษ นั้น เห็นว่า การที่จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและขอให้การรับสารภาพมีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในชั้นฎีกาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสองที่บัญญัติให้กระทำได้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษก็เป็นดุลพินิจที่ศาลจะสั่งในคำพิพากษาต่อไป จึงให้ยกคำร้อง
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในข้อหาบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยยอมรับว่า ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน เพียงแต่อ้างว่า จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 7662 ที่จำเลยซื้อจากนายเผอิญ โรจนะ ศาลฎีกาวินิจฉัยรับฟังว่าจำเลยอยู่ในฐานะทราบดีว่าที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ดินมีเพียง 2 ไร่ โดยด้านทิศตะวันออกจดภูเขา ด้านทิศเหนือจดถนนสาธารณประโยชน์และภูเขาตามที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินดังกล่าว จากคำเบิกความของนางกมลรัตน์ โภคย์สุพัสตร์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บริหารที่ดินอำเภอหนองแค และไปตรวจสอบที่ดินที่เกิดเหตุตามคำสั่งของนายอำเภอหนองแคได้ความว่า มีการบุกรุกไถภูเขาซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือและด้านทิศตะวันออก และตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.1 ที่โจทก์และจำเลยนำรังวัดที่ดินตามคำสั่งศาลชั้นต้น ปรากฏว่าจำเลยนำชี้ที่ดินของจำเลยเพียง 3 ด้านส่วนด้านทิศใต้จำเลยไม่ยอมนำชี้ โดยอ้างว่านายเผอิญได้ขายที่ดินตามโฉนดที่ 7662 และที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 12 ให้แก่จำเลย ทั้งที่ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 12 ได้ออกเป็นโฉนดที่ดิน โฉนดที่ 7662 แล้ว และมีจำนวนเนื้อที่มากกว่าเสียอีก แสดงว่าจำเลยทราบดีว่าหากจำเลยนำชี้ที่ดินของจำเลยทั้งสี่ด้าน ที่ดินของจำเลยจะมีเนื้อที่มากกว่าที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดินของจำเลย นอกจากนี้ยังได้ความจากนายธีระพันธ์ อิงคุทานนท์ พยานโจทก์ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอหนองแคว่า หลังจากตรวจสอบพบว่าจำเลยบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทางอำเภอหนองแคแจ้งให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุจำเลยทราบแล้วไม่ยอมรื้อถอนและไม่ยอมออกไป พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่า จำเลยมีเจตนาบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่จำเลยบุกรุกมีเนื้อที่เพียง 2 งานนั้น ได้ความจากนางกมลรัตน์ พยานโจทก์ดังกล่าวอีกว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2536 พยานกับนายธีระพันธ์ ปลัดอำเภอหนองแคในขณะนั้นและนายบู่ มาลินันท์ กำนันตำบลหนองนาก ไปตรวจสอบที่ดินที่เกิดเหตุปรากฏว่า จำเลยบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ตามสำเนาบันทึกข้อความเรื่องตรวจสอบราษฎรบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ เอกสารหมาย จ.1 โดยมีนายธีระพันธ์และนายบู่พยานโจทก์เบิกความรับรองยืนยันตามเอกสารดังกล่าว เชื่อว่าจำเลยบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ตามที่ระบุไว้ในเอกสารดังกล่าว
สำหรับข้อหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่า ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน การที่จำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินที่เกิดเหตุ ตามคำสั่งของนายอำเภอหนองแคซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ แม้จำเลยจะอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยก็ไม่ใช่เหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะทำให้จำเลยพ้นจากความผิดในข้อหาดังกล่าวได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ปรับจำเลย 5,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ปรับจำเลย 500 บาท อีกสถานหนึ่ง รวมปรับจำเลย 5,500 บาทเมื่อรวมกับโทษที่กำหนดไว้เดิมเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน 10 วันและปรับ 5,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share