คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ จึงไม่ชอบ แม้จำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้าน โจทก์เคยให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัย แต่โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอยู่อาศัยต่อไป บอกกล่าวให้ออกไปก็เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านโจทก์ พร้อมทั้งส่งมอบบ้านในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า บ้านเป็นของบิดามารดาจำเลย จำเลยเป็นทายาทได้รับมรดกมาจากบิดามารดาแล้วครอบครองต่อมา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านพิพาทและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 100 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายออกไปจากบ้านพิพาท
จำเลยฎีกาศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บ้านพิพาทเป็นบ้านแฝดมีชานบ้านอยู่ตรงกลาง ปลูกอยู่ในที่ชายทะเลมา 40 ปีเศษ เดิมครอบครัวของนายกุ้ย นางแดง บิดามารดาของจำเลยและนางประไพ ชมรัตน์ ภริยาของโจทก์ กับครอบครัวของโจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาท ต่อมาครอบครัวของโจทก์ได้ย้ายไปอยู่ห้องแถวริมถนน ไม่ไกลจากบ้านพิพาท นายกุ้ย นางแดงถึงแก่กรรมไปแล้วเมื่อปลายปี พ.ศ. 2528 โจทก์จะเข้าไปกั้นชานบ้านพิพาท แต่จำเลยไม่ยอม จึงเกิดพิพาทกันเป็นคดีนี้ ปัญหาที่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามข้อฎีกาของจำเลยมีว่า
1. บ้านพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย
2. จำเลยครอบครองบ้านพิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่
3. ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด…
ปัญหาข้อที่ 2 จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงไม่มีประเด็นในข้อนี้ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย…’
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ500 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share