คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8264/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยซึ่งเป็นสามีทำสัญญาจะขายที่พิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และการขายต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยร่วมผู้เป็นภริยาจึงต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือ โจทก์จะอ้างว่าการนั้นได้รับความยินยอมแล้วโดยไม่มีหลักฐานการให้ความยินยอมเป็นหนังสืออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ โจทก์นำสืบเพียงว่าพบจำเลยร่วมหลังจากทำสัญญาในขณะไปรังวัดที่ดิน โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่พอจะฟังว่าจำเลยร่วมยังบอกให้จำเลยคืนมัดจำโดยจะไม่มีการขาย ซึ่งจำเลยร่วมก็นำสืบหักล้างว่า ไม่ทราบเรื่องจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์และไม่เคยเห็นโจทก์ไปรังวัดที่พิพาทแต่อย่างใด ดังนี้ ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบันแล้ว จำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในระหว่างอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519 การถือครองที่พิพาทในขณะนั้นจึงเป็นลักษณะเจ้าของรวม ที่พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง หาใช่สินสมรสไม่ การที่จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าของรวม สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่พิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เล่ม 1 หน้า 140 สารบบเล่มหน้า 200หมู่ 3 ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรีเนื้อที่ 20 ไร่ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ในราคาไร่ละ 63,000 บาทและที่ดินที่อยู่นอกเขตหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งอยู่ติดกันในราคาไร่ละ 45,000 บาท ตกลงจะโอนที่ดินกันเมื่อทางอำเภอให้ทำการโอนสิทธิได้ และจำเลยได้รับเงินครบถ้วนในวันโอนจำเลยได้รับเงินมัดจำไว้ 10,000 บาท หากผิดสัญญายอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 100,000 บาท ต่อมา วันที่ 25ตุลาคม 2532 จำเลยได้รับเงินมัดจำเพิ่มเติมอีก 20,000 บาทหากผิดสัญญายอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ 300,000 บาท ต่อมากลางเดือนมีนาคม 2533 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าทางอำเภอแจ้งว่าสามารถทำการโอนสิทธิได้แล้ว ให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงและผัดผ่อน ต่อมาต้นเดือนกุมภาพันธ์2533 จำเลยแจ้งโจทก์ว่าจะไม่โอนที่ดินให้ตามสัญญา ยอมคืนเงินมัดจำ 30,000 บาทแก่โจทก์ แต่โจทก์ยืนยันให้จำเลยปฎิบัติ ตามสัญญา วันที่ 14 มีนาคม 2533 โจทก์มอบหมายให้ทนายความแจ้งให้จำเลยรับชำระค่าที่ดินที่ค้างและโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เล่ม 1 หน้า 140 สารบบเล่มหน้า 200 หมู่ 3 ตำบลลุ่มสุ่มอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ 20 ไร่ แก่โจทก์หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยโจทก์จะวางเงินค่าที่ดินที่ค้างต่อศาล
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันโดยโจทก์ทราบว่าที่ดินดังกล่าวจำนองไว้ที่สหกรณ์ไทรโยคแต่สหกรณ์ถูกฟ้องให้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าการซื้อขายไม่สามารถทำได้หรือโจทก์ไม่พร้อมชำระเงินก็ให้สัญญาเลิกกัน จึงมิได้กำหนดวันโอนกันไว้ ภายหลังจำเลยได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์คืนมา ได้แจ้งให้โจทก์นำเงินที่ค้างไปชำระเพื่อดำเนินการโอนที่ดินให้แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงบอกเลิกสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานางนิตย์ รักบุญยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมเป็นภริยาของจำเลยจำเลยและจำเลยร่วมได้ร่วมกันทำประโยชน์ในที่พิพาทมาจนได้สิทธิระหว่างเป็นสามีภริยากันที่พิพาทจึงเป็นสินสมรสจำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาท โดยจำเลยร่วมมิได้มีส่วนรู้เห็นและมิได้ให้ความยินยอม ทั้งจำเลยร่วมมิได้ให้สัตยาบัน สัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทดังกล่าวไม่สมบูรณ์ในส่วนของจำเลยร่วมขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทส่วนของจำเลยร่วมพ้นจากความผูกพันตามสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายอันพึงมีตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกซึ่งโจทก์ฎีกาว่า ก่อนโจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมแล้ว หากจำเลยร่วมไม่ให้ความยินยอมก็คงจะต้องคัดค้านการซื้อขายแน่นอน แต่จำเลยร่วมหาได้คัดค้านประการใดไม่ ถือว่าเป็นการให้ความยินยอมโดยปริยายแล้ว แม้ขณะโจทก์จำเลยทำสัญญากัน จำเลยร่วมจะไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม แต่เมื่อทำสัญญาแล้ว โจทก์จำเลยได้ไปรังวัดที่ดิน จำเลยร่วมก็มิได้คัดค้านแต่ประการใด ถือว่าได้ให้สัตยาบันการที่จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ ลำพังแต่คำบอกกล่าวของจำเลยร่วมที่ให้จำเลยคืนมัดจำมิใช่การบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใดจำเลยร่วมจึงต้องรับผิดตามสัญญาด้วยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1479 บัญญัติว่าการใดที่สามีภริยากระทำซึ่งต้องรับความยินยอมร่วมกัน และถ้าการนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือหรือให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ความยินยอมนั้นต้องทำเป็นหนังสือ และมาตรา 1476 บัญญัติว่าการใดที่สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน หรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้ (1) ขาย ฯลฯอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ดังนั้นในเมื่อจำเลยซึ่งเป็นสามีทำสัญญาจะขายที่พิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ และการขายต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จำเลยร่วมผู้เป็นภริยาจึงต้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือโจทก์จะอ้างว่าการนั้นได้รับความยินยอมแล้วโดยไม่มีหลักฐานการให้ความยินยอมเป็นหนังสืออันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเช่นนี้ย่อมฟังไม่ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบันแล้วนั้น โจทก์นำสืบเพียงว่าพบจำเลยร่วมหลังจากทำสัญญาในขณะไปรังวัดที่ดิน โดยไม่มีพฤติการณ์อื่นใดที่พอจะฟังว่าจำเลยร่วมได้ให้สัตยาบัน ทั้งการพบครั้งสุดท้ายจำเลยร่วมยังบอกให้จำเลยคืนมัดจำโดยจะไม่มีการขาย ซึ่งจำเลยร่วมก็นำสืบหักล้างว่า ไม่ทราบเรื่องจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับโจทก์และไม่เคยเห็นโจทก์ไปรังวัดที่พิพาทแต่อย่างใดพยานหลักฐานที่นำสืบมาไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยร่วมให้สัตยาบัน
ที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า ที่พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยจำเลยย่อมขายได้โดยลำพัง หากศาลจะฟังว่าเป็นสินสมรสนิติกรรมก็สมบูรณ์เฉพาะในส่วนที่เป็นของจำเลยนั้น ในข้อนี้เห็นว่า ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.ร.1 ปรากฎว่าจำเลยและจำเลยร่วมจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2519 และได้ความจากจำเลยและจำเลยร่วมเบิกความตอบถามค้านอีกว่าจำเลยบุกร้างถางพงและครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 30 ปีจำเลยและจำเลยร่วมอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 ที่พิพาทออกหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปีใดจำไม่ได้แต่หลังปี 2500 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยและจำเลยร่วมร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทในระหว่างอยู่กินกันตั้งแต่ปี 2500 แต่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2519การถือครองที่พิพาทในขณะนั้นจึงเป็นลักษณะเจ้าของรวมที่พิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยร่วมฝ่ายละครึ่งหนึ่ง หาใช่สินสมรสไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยร่วมผู้เป็นเจ้าของรวมสัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ผูกพันที่พิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย โจทก์ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทส่วนที่เป็นของจำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 หน้า 140 สารบบเล่มหน้า 200 หมู่ 3 ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลยครึ่งหนึ่งแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระเฉพาะส่วนที่คำนวณตามเนื้อที่ที่ดินเพียงครึ่งหนึ่งแก่จำเลยด้วย

Share