คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6384/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พนักงานเดินหมายส่งหมายนัดฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลยโดยมีผู้รับแทนตามภูมิลำนาที่ทนายแจ้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์แต่ปรากฏว่าทนายจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ตามที่แจ้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์เพราะได้ย้ายออกไปก่อนแล้ว กรณีจะถือว่าทนายจำเลยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้แม้ทนายจำเลยจะมิได้แจ้งการย้ายภูมิลำเนาต่อศาลก็เป็นคนละเรื่องกับปัญหาว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบหรือไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เสมียนทนายความโจทก์ฟัง โดยถือว่าได้อ่านให้จำเลยฟังด้วยแล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2533 ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งให้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ เพื่อจำเลยจะได้มีสิทธิยื่นฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าพนักงานเดินหมายส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายจำเลยโดยมีผู้รับแทนตามภูมิลำเนาที่ทนายจำเลยแจ้งไว้ต่อศาล และทนายจำเลยไม่มีหลักฐานมาแสดงว่าทนายจำเลยได้ย้ายออกจากภูมิลำเนาที่แจ้งไว้ต่อศาลก็ตาม แต่ปรากฏว่าตามสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 19/133แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เอกสารท้ายคำร้องซึ่งเป็นบ้านเลขที่ที่ทนายจำเลยระบุไว้ในคำแก้อุทธรณ์ไม่เคยมีชื่อทนายจำเลยอยู่ในบ้านเลขที่ดังกล่าว ที่ทนายจำเลยระบุที่อยู่ว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าวในคำแก้อุทธรณ์ก็ปรากฏว่าคำแก้อุทธรณ์ยื่นต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2530 แต่ในการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายสกลวิฑู อติรัตน์ พนักงานเดินหมายเพิ่งไปส่งในวันที่ 28 กันยายน 2533 มีระยะเวลาห่างกัน 3 ปีเศษนายอนันต์ แซ่ด่าน พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้รับหมายนัดดังกล่าวไว้เบิกความยืนยันว่าไม่เคยรู้จักทนายจำเลยและได้แจ้งแก่พนักงานเดินหมายแล้วว่าทนายจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว แต่พนักงานเดินหมายให้พยานลงชื่อรับหมายนัดไว้นายสกลวิฑูพยานโจทก์พนักงานเดินหมายไม่ได้ยืนยันว่าทนายจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว และทนายจำเลยก็ยืนยันว่า ย้ายออกจากบ้านเลขที่ดังกล่าวตั้งแต่ต้นปี 2531ส่วนโจทก์ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าทนายจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว เช่นนี้ ก็ต้องฟังว่าขณะที่นายสกลวิฑูรนำหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปส่ง ทนายจำเลยไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ตามที่แจ้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ กรณีจะถือว่าทนายจำเลยได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ ที่โจทก์อ้างว่าถ้าทนายจำเลยย้ายออกจากภูมิลำเนาเดิมก็เป็นหน้าที่ของทนายจำเลยต้องแจ้งให้ศาลทราบนั้น เห็นว่า แม้ทนายจำเลยจะมิได้แจ้งการย้ายภูมิลำเนาต่อศาลก็เป็นคนละเรื่องกับปัญหาว่าการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบหรือไม่ ที่โจทก์อ้างว่า นายอนันต์รับหมายนัดไว้โดยเต็มใจหากนายอนันต์ไม่รู้จักเกี่ยวข้องกับทนายจำเลยย่อมไม่มีเหตุที่จะรับไว้นั้นได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้วว่านายอนันต์เบิกความยืนยันว่าไม่เคยรู้จักทนายจำเลย เหตุที่ยอมรับหมายไว้แทนเพราะพนักงานเดินหมายขอให้พยานรับไว้ซึ่งโจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานมาหักล้างคำเบิกความของนายอนันต์และสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของโจทก์ จึงต้องฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่นายอนันต์เบิกความ”
พิพากษายืน

Share