คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่คนละ 80 ตารางวา การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1 จำนวน 2 งาน ตามที่โจทก์ที่ 1 ปลูกสร้างบ้านอยู่และพิพากษายกฟ้องโจทก์คนอื่น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ได้รับส่วนแบ่งที่ดินไม่เกินจำนวนที่โจทก์ที่ 1 ขอตามคำฟ้อง แต่เพื่อมิให้เป็นการเสียหาย จึงให้โจทก์ที่ 1 ได้รับส่วนแบ่งในที่ดินจำนวน 80 ตารางวาส่วนที่ปลูกสร้างบ้าน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๔๘ หมู่ที่ ๕ ตำบลป่างิ้ว อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง เป็นมรดกของนายเล็ก ม่วงงาม และให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ คนละ ๑ ใน ๖ ส่วน หรือคนละ ๘๐ ตารางวา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและหากแบ่งกันไม่ได้ให้นำที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกัน
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่ความตาย นายอนุสิทธิ์ วิจิตรสุนทร บุตรจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ที่ ๓ ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ ๓ ศาลชั้นต้นอนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ ๓
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๔๘ ให้แก่โจทก์ที่ ๑ ในส่วนที่ครอบครองจำนวน ๒ งาน หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนคำขอที่ว่าหากแบ่งกันไม่ได้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันนั้น เมื่อให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้ตามคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายกคำฟ้องศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว…ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอเรียกที่ดินคนละ ๑ ใน ๖ ส่วน หรือ ๘๐ ตารางวา แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับที่ดินพิพาทตามจำนวนที่โจทก์ที่ ๑ ครอบครองจำนวน ๒ งาน อันเป็นจำนวนที่เกินกว่าที่โจทก์ขอ จึงย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอในคำฟ้องจึงเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อคดีนี้มีปัญหาที่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาเองโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยอยู่แล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างวินิจฉัยด้วย เห็นว่า คดีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ ๑ ได้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๒ งาน ก็ตาม แต่ฝ่ายโจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสี่คนละ ๘๐ ตารางวา การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาบังคับให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ ๑จำนวน ๒ งาน จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์ที่ ๑ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ กรณีสมควรกำหนดให้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งที่ดินไม่เกินจำนวนที่โจทก์ขอตามคำฟ้อง แต่เพื่อมิให้เป็นการเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ ซึ่งปลูกสร้างบ้านอาศัยอยู่ จึงให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับส่วนแบ่งในส่วนที่ปลูกสร้างบ้าน
พิพากษากลับว่า ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๔๘ ให้แก่โจทก์ที่ ๑ ในส่วนที่โจทก์ที่ ๑ ครอบครองปลูกสร้างบ้านจำนวน ๘๐ ตารางวา หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนคำขอที่ว่าหากแบ่งกันไม่ได้ให้นำที่พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันนั้น เมื่อให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้ตามคำขอส่วนนี้ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ และที่ ๔ ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์ที่ ๒ และที่ ๔ ให้เป็นพับ.

Share