คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยที่ว่า สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริง การที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารขึ้นมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลยกลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลไม่ชอบด้วยเหตุผลและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการรับฟังพยานก็ดีหรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริงโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลจึงต้องฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดี หรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทก็ดี ล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 5013 จากจำเลยแล้ว จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพร้อมบ้านมีกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไป เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยบ้านที่เช่านั้นโจทก์อาจให้เช่าได้ในอัตราเดือนละไม่น้อยกว่า2,500 บาท ขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยในอัตราดังกล่าวมีกำหนด5 เดือน เป็นเงิน 12,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านที่เช่าและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 12,500 บาท
จำเลยให้การว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้ธนาคารกสิกรไทยโดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องเป็นประกันหนี้เงินกู้หรือเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยจึงไปยืมเงินจากโจทก์ไปไถ่ถอนจำนองโจทก์ตกลงให้จำเลยยืมเงิน โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนและให้จำเลยโอนขายที่ดินและบ้านตามฟ้องแก่โจทก์ เพื่อโจทก์จะได้เอาที่ดินพร้อมบ้านไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันแก่ธนาคารเพื่อขยายวงเงินกู้หรือเบิกเงินเกินบัญชีมากกว่าเดิมและเพื่อเป็นการทดแทนและประกันการยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยเนื่องจากโจทก์และจำเลยเป็นญาติกัน จำเลยจึงตกลง เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม2529 จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องแก่โจทก์ในราคา 100,000 บาท วันที่ 14 ตุลาคม 2529 โจทก์กับจำเลยได้คิดบัญชีหนี้สินกัน ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 192,000 บาทโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน คิดดอกเบี้ยล่วงหน้ามีกำหนด 6 เดือน รวมเป็นดอกเบี้ย 34,560 บาท และในวันเดียวกันนั้นโจทก์ทำสัญญากู้เงินให้จำเลยลงชื่อไว้จำเลยส่งดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมา การซื้อขายที่ดินและบ้านที่โจทก์อ้างเป็นนิติกรรมอำพรางเพราะมิได้มีเจตนาซื้อขายกันจริง ๆ โจทก์ไม่เสียหายและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเพราะสัญญาซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาเช่าไม่ผลบังคับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านเลขที่ 158 หมู่ที่ 11ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 12,500 บาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ฉบับลงวันที่ 14 ตุลาคม 2529 ระหว่างโจทก์กับจำเลยมีอยู่จริง การที่ศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาพยานเอกสารหมาย ล.1 และ ล.5 ขึ้นมาวินิจฉัยประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์และจำเลย กลับฟังแต่คำเบิกความของพยานบุคคลเท่านั้นไม่ชอบด้วยเหตุผลและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องการรับฟังพยานก็ดี หรือเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสัญญากู้มีอยู่จริงโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลจึงฟังว่าสัญญากู้มีอยู่จริงก็ดี หรือค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทก็ดีรวมทั้งฎีกาข้ออื่นของจำเลยล้วนเป็นฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดค่าเสียหายของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาจำเลยมาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share