คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกาว่า หนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีข้อความว่าผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินไปครบถ้วนแล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินจึงเป็นใบรับสำหรับการโอนหรือก่อตั้งสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และนิติกรรมที่เป็นเหตุให้ออกใบรับนั้นมีการจดทะเบียนตามกฎหมายมิได้ปิดอากรแสตมป์ รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ แม้โจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่วินิจฉัยให้ไม่ถูกอย่างไร ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชัดแจ้ง แม้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรที่จะวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ขอให้จำเลยผู้จัดการมรดกของนายจวนจัดการแบ่งมรดกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมจำเลยเพิกเฉยหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องแล้ว จำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 987 และเลขที่ 950 ให้แก่นายบรรจง โดยไม่มีอำนาจกระทำได้และไม่สุจริต ขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 987และเลขที่ 950 และครึ่งหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 469 และเลขที่ 471 ออกเป็นสามส่วนแล้วแยกให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามส่วน หากทำไม่ได้ก็ให้มีการประมูลขายระหว่างทายาทด้วยกัน โดยนำเงินตามส่วนที่แต่ละคนจะได้รับคนละ 125,000 บาทมาแบ่งแก่ทายาท และขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 987 และเลขที่ 950 ระหว่างจำเลยและนายบรรจง
จำเลยให้การว่า จำเลยกับนายจวนจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ พ.ศ. 2526 นายจวนมีที่ดินเป็นสินส่วนตัว ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 987 และเลขที่ 950 รวม 2 แปลง แต่ได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่นายบรรจงเพื่อใช้จ่ายในการรักษาตัวต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2531 จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่นายบรรจงตามสัญญาโดยสุจริตและไม่ทราบมาก่อนว่าถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 469 และเลขที่ 471 เป็นสินส่วนตัวของจำเลยไม่ใช่ทรัพย์มรดกที่โจทก์ทั้งสองจะมีสิทธิฟ้องขอแบ่งได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกนายบรรจง เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจวนโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่นายจวนได้ทำไว้กับจำเลยร่วม โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ระหว่างกำหนดอายุความอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรมนายเจียร บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดิน มีข้อความว่า ผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินไปครบถ้วนแล้ว สัญญาจะซื้อขายที่ดินจึงเป็นใบรับสำหรับการโอนหรือก่อตั้งสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และนิติกรรมที่เป็นเหตุให้ออกใบรับนั้นมีการจดทะเบียนตามกฎหมายมิได้ปิดอากรแสตมป์ รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสองจะอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อโจทก์ทั้งสองมิได้ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่วินิจฉัยให้ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร ฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ชัดแจ้ง แม้เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาก็ไม่เห็นสมควรที่จะวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์ทั้งสอง

Share